เมนู

ที่มาของข้อมูล : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มจร.
MCUTRAI Version 1.0

พระไตรปิฎกเล่มที่ 10 สุตตันตปิฎกที่ 02 ทีฆนิกาย มหาวรรค

พระสุตตันตปิฏก ทีฆนิกาย มหาวรรค [1. มหาปทานสูตร] เรื่องเกี่ยวกับปุพพเพนิวาส

พระสุตตันตปิฎก
ทีฆนิกาย มหาวรรค
____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1. มหาปทานสูตร
ว่าด้วยพระประวัติของพระพุทธเจ้า 7 พระองค์
เรื่องเกี่ยวกับปุพเพนิวาส

[1] ข้าพเจ้า1ได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กเรริกุฎี2 ณ พระเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี
ครั้งนั้น ภิกษุหลายรูปกลับจากบิณฑบาต ภายหลังฉันอาหารเสร็จแล้ว
นั่งประชุมกันที่หอนั่งใกล้กเรริมณฑป3 สนทนาธรรมอันเกี่ยวกับปุพเพนิวาส4ว่า
“ปุพเพนิวาสมีได้เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ”

เชิงอรรถ :
1 คำว่า ข้าพเจ้า ในตอนเริ่มต้นของพระสูตรนี้และพระสูตรอื่น ๆ ในเล่มนี้หมายถึงพระอานนท์ (ที.สี.อ.
1/26)
2 กเรริกุฎี เป็นชื่อของกุฎีใหญ่หลังหนึ่งในพระเชตวัน ในบรรดากุฎีใหญ่ 4 หลัง คือ (1) กเรริกุฎี (2) โกสัมพ-
กุฎี (3) คันธกุฎี (4) สฬลฆรกุฎี ที่ชื่อว่ากเรริกุฎี เพราะตั้งอยู่ใกล้กเรริมณฑป (ที.ม.อ. 1/1)
3 กเรริมณฑป หมายถึงเรือนยอดสี่เหลี่ยมที่สร้างด้วยไม้กุ่มน้ำ ตั้งอยู่ระหว่างพระคันธกุฎีกับหอนั่ง หอนั่ง
แปลจากคำว่า กเรริมณฺฑลมาเฬ ในที่นี้หมายถึงศาลาสำหรับนั่ง (นิสีทนสาลา) เป็นศาลาทรงกลมที่สร้าง
ย่อส่วนจากเรือนยอด ไม่มีฝา บางทีคำว่า มณฺฑลมาฬ ท่านใช้รวมถึงบริเวณพระคันธกุฎี กเรริกุฎีและหอนั่ง
(ที.ม.ฏีกา 1/1)
4 ปุพเพนิวาส หมายถึงชีวิตในชาติก่อน คือการสืบต่อของขันธ์ที่เคยเป็นอยู่ในชาติก่อนอาจ 1 ชาติบ้าง
2 ชาติบ้าง (ที.ม.อ.1/1)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 10 หน้า :1 }


พระสุตตันตปิฏก ทีฆนิกาย มหาวรรค [1. มหาปทานสูตร] เรื่องเกี่ยวกับปุพพเพนิวาส

[2] พระผู้มีพระภาคทรงสดับคำสนทนาของภิกษุเหล่านั้นด้วยทิพพโสตธาตุ
อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ เสด็จลุกจากพุทธอาสน์เข้าไปที่หอนั่งใกล้กเรริมณฑป
ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้ว รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสถามว่า
“ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เรื่องอะไร
ที่เธอทั้งหลายสนทนากันค้างไว้”
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ภิกษุเหล่านั้น จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับจากบิณฑบาต ภายหลัง
ฉันอาหารเสร็จแล้ว นั่งประชุมกันที่หอนั่งใกล้กเรริมณฑป สนทนาธรรมอันเกี่ยวกับ
ปุพเพนิวาสว่า ‘ปุพเพนิวาสมีได้เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ’ เรื่องนี้แลที่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
สนทนากันค้างไว้ ก็พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง พระพุทธเจ้าข้า”
[3] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายต้องการจะฟัง
ธรรมีกถาอันเกี่ยวกับปุพเพนิวาสหรือไม่”
พวกภิกษุทูลตอบว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ถึงกาลอันสมควรที่พระ
ผู้มีพระภาคจะทรงแสดงธรรมีกถาอันเกี่ยวกับปุพเพนิวาส ภิกษุทั้งหลายได้ฟังจาก
พระผู้มีพระภาคแล้วจะได้ทรงจำไว้ พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจัก
กล่าว” ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
[4] “ภิกษุทั้งหลาย นับจากกัปนี้ถอยหลังไป 91 กัป พระผู้มีพระภาคอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก นับจากกัปนี้ถอยหลังไป
31 กัป พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ได้เสด็จอุบัติขึ้น
ในโลก ในกัปที่ 31 นั้นเอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า
เวสสภู ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในภัทรกัป1นี้เอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม

เชิงอรรถ :
1 กัทรกัป คือ กัปที่เจริญหรือดีงาม เนื่องจากเป็นกัปเดียวที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติถึง 5 พระองค์ ในที่นี้
หมายถึงกัปปัจจุบันนี้ (ที.ม.อ. 4/5)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 10 หน้า :2 }