พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [3.อัมพัฏฐสูตร] เรื่องอัมพัฏฐวงศ์
[272] เวลานั้น อัมพัฏฐมาณพตกใจกลัวจนขนพองสยองเกล้าจึงเข้าไป
ใกล้ มุ่งหมายให้พระผู้มีพระภาคเป็นที่ปกป้อง เป็นที่คุ้มครอง และเป็นที่ยึดเหนี่ยว
ทูลถามว่า ท่านพระโคดมตรัสอะไร โปรดตรัสอีกครั้งเถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อัมพัฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เธอเคยได้
ฟังพวกพราหมณ์ผู้แก่ผู้เฒ่าผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาอย่างไร พวก
กัณหายนะเกิดจากใครก่อน ใครคือบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ
อัมพัฏฐมาณพกราบทูลว่า ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าได้ฟังมาเหมือนกับที่ท่าน
พระโคดมตรัสนั่นแหละ พวกกัณหายนะเกิดมาจากนายกัณหะนั้นก่อน นายกัณหะ
นั้นคือบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ
เรื่องอัมพัฏฐวงศ์
[273] เมื่ออัมพัฏฐมาณพกราบทูลอย่างนี้ พวกมาณพได้ส่งเสียงอื้ออึง
เซ็งแซ่ว่า ได้ทราบว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติตระกูลต่ำ ไม่ใช่ลูกผู้มีตระกูล เป็นลูก
ของหญิงรับใช้ของพวกศากยะ ได้ทราบว่า พวกศากยะเป็นโอรสของเจ้านายของ
อัมพัฏฐมาณพ พวกเรากลับเข้าใจท่านพระสมณโคดมผู้เป็นธรรมวาทีว่าควรถูก
รุกราน
[274] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริอย่างนี้ว่า มาณพเหล่านี้
เหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพรุนแรงว่า เป็นลูกของหญิงรับใช้ ทางที่ดีเราควรช่วย
ปลดเปลื้อง จึงตรัสกะมาณพเหล่านั้นว่า มาณพ พวกเธออย่าเหยียดหยาม
อัมพัฏฐมาณพรุนแรงว่าเป็นลูกของหญิงรับใช้เลย เพราะนายกัณหะนั้น (ต่อมา) ได้
เป็นฤๅษีคนสำคัญเดินทางไปยังทักขิณาชนบท เรียนพรหมมันตระ แล้วเข้าเฝ้า
พระเจ้าโอกกากราช กราบทูลขอพระราชธิดาพระนามว่ามัททรูปี พระเจ้าโอกกาก-
ราชทรงกริ้วไม่พอพระทัยตรัสว่า เหวย ๆ เจ้าคนนี้มันใครกัน ก็แค่ลูกของหญิง
รับใช้ จะมาขอมัททรูปีธิดาของข้าได้ จึงทรงขึ้นพระแสงศร แต่ไม่อาจจะทรงแผลงศร
ทั้งไม่อาจลดศรลงได้
ทันใดนั้น หมู่อำมาตย์ราชบริพารเข้าไปหากัณหฤๅษีกล่าวว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ ขอพระเจ้าอยู่หัวจงทรงพระเจริญ ๆ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [3.อัมพัฏฐสูตร] ความเป็นกษัตริย์ประเสริฐที่สุด
ฤๅษีกล่าวว่า พระราชาจะทรงพระเจริญ แต่ถ้าพระราชาจะทรงแผลงศรลงไป
เบื้องต่ำ แผ่นดินจะทรุดทั่วพระราชอาณาเขต
หมู่อำมาตย์ราชบริพารกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระเจ้าอยู่หัวจงทรง
พระเจริญ ขอให้บ้านเมืองจงมีความปลอดภัย
ฤๅษีกล่าวว่า พระราชาจะทรงพระเจริญ บ้านเมืองก็จะมีความปลอดภัย แต่
ถ้าพระราชาจะทรงแผลงศรขึ้นไปข้างบน ฝนจะไม่ตกทั่วพระราชอาณาเขตตลอด
7 ปี
หมู่อำมาตย์ราชบริพารกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระเจ้าอยู่หัวจงทรง
พระเจริญ ขอให้บ้านเมืองจงมีความปลอดภัย ขอให้ฝนจงตกตามฤดูกาล
ฤๅษีกล่าวว่า พระราชาจะทรงพระเจริญ บ้านเมืองจะมีความปลอดภัย ฝนก็
จะตกตามฤดูกาล ก็ต่อเมื่อพระราชาจะทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์
ใหญ่ด้วยมุ่งพระทัย ว่า พระราชกุมารจักมีความเจริญ จักหายจากความหวาดผวา
หมู่อำมาตย์ราชบริพารกราบทูลพระเจ้าโอกกากราชว่า ขอพระเจ้าอยู่หัวทรง
วางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่ด้วยมุ่งพระทัยว่า พระราชกุมารจักมี
ความเจริญ จักหายจากความหวาดผวา
พระเจ้าโอกกากราชจึงทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่ พระ
ราชกุมารก็ทรงเป็นผู้มีความเจริญ หายจากความหวาดผวา พระเจ้าโอกกากราชทรง
ตกพระทัยหวาดกลัว พระโลมชาติชูชัน ถูกข่มขู่ด้วยพรหมทัณฑ์ จึงได้พระราชทาน
พระนางมัททรูปีราชธิดาแก่ฤๅษีนั้นไป
มาณพ พวกเธออย่าเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพรุนแรงว่าเป็นลูกของหญิงรับ
ใช้เลย เพราะนายกัณหะนั้นได้เป็นฤๅษีคนสำคัญมาแล้ว
ความเป็นกษัตริย์ประเสริฐที่สุด
[275] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะอัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ เธอ
เข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร ขัตติยกุมารในโลกนี้อยู่ร่วมกับนางพราหมณกัญญา จนมี
บุตร บุตรที่เกิดจากนางพราหมณกัญญากับขัตติยกุมาร ควรจะได้นั่งร่วมกันหรือ
กินดื่มร่วมกันกับพวกพราหมณ์บ้างหรือไม่