เมนู

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [3.อัมพัฏฐสูตร]
พระพุทธดำรัสว่าอัมพัฏฐมาณพเป็นลูกของหญิงรับใช้

ชาติตระกูลดี เป็นลูกผู้มีตระกูล ศึกษามามาก พูดเพราะ ฉลาด และสามารถเจรจา
โต้ตอบกับท่านพระโคดมได้’ พวกเธอก็จงหยุด อัมพัฏฐมาณพก็จงเจรจาโต้ตอบกับ
เรา(ต่อไป)”
มาณพเหล่านั้นกราบทูลว่า “ท่านพระโคดม อัมพัฏฐมาณพมีชาติตระกูลดี
เป็นลูกผู้มีตระกูล ศึกษามามาก พูดเพราะ ฉลาด และสามารถเจรจาโต้ตอบกับท่าน
พระโคดมได้ พวกข้าพเจ้าจักหยุดนิ่ง อัมพัฏฐมาณพจงเจรจาโต้ตอบกับท่านพระ
โคดม(ต่อไป)”
[270] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะอัมพัฏฐมาณพว่า “อัมพัฏฐะ
ปัญหาอันชอบธรรมข้อนี้ย่อมมาถึงเธอ เธอแม้ไม่ต้องการก็จะต้องตอบ (เพราะ)
ถ้าไม่ตอบ ขืนพูดกลบเกลื่อน นิ่งเสียหรือจากไปเสีย ศีรษะของเธอจะแตกเป็น 7
เสี่ยง ณ ที่นี้แหละ อัมพัฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เธอเคยได้ฟังพวก
พราหมณ์ผู้แก่ผู้เฒ่าผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาอย่างไร พวกกัณหายนะ
เกิดจากใครก่อน ใครคือบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ”
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้ อัมพัฏฐมาณพได้นิ่งเฉย พระผู้มีพระภาค
ได้ตรัสถามอีกเป็นครั้งที่ 2 ว่า “อัมพัฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เธอเคย
ได้ฟังพวกพราหมณ์ผู้แก่ผู้เฒ่าผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาอย่างไร พวก
กัณหายนะเกิดจากใครก่อน ใครคือบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ”
แม้ครั้งที่ 2 อัมพัฏฐมาณพก็ยังคงนิ่งเฉย
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อัมพัฏฐะ เธอจงตอบเดี๋ยวนี้ เวลานี้
ไม่ใช่เวลาที่เธอจะนิ่งเฉย (เพราะ) ผู้ที่ถูกตถาคตถามปัญหาอันชอบธรรมถึง 3 ครั้ง
แต่ไม่ยอมตอบ ศีรษะของเขาจะแตกเป็น 7 เสี่ยง ณ ที่นี้แหละ”
[271] ขณะนั้น ยักษ์วชิรปาณีถือค้อนเหล็กใหญ่มีไฟลุกโชติช่วงยืนอยู่ใน
อากาศเบื้องบนอัมพัฏฐมาณพ คิดว่า ‘หากอัมพัฏฐมาณพนี้ถูกพระผู้มีพระภาคตรัส
ถามปัญหาอันชอบธรรมถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ยอมตอบ เราจะทุบศีรษะของเขาให้แตก
เป็น 7 เสี่ยง ณ ที่นี้แหละ’
พระผู้มีพระภาคและอัมพัฏฐมาณพเท่านั้นที่มองเห็นยักษ์วชิรปาณีตนนั้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 9 หน้า :94 }


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [3.อัมพัฏฐสูตร] เรื่องอัมพัฏฐวงศ์

[272] เวลานั้น อัมพัฏฐมาณพตกใจกลัวจนขนพองสยองเกล้าจึงเข้าไป
ใกล้ มุ่งหมายให้พระผู้มีพระภาคเป็นที่ปกป้อง เป็นที่คุ้มครอง และเป็นที่ยึดเหนี่ยว
ทูลถามว่า “ท่านพระโคดมตรัสอะไร โปรดตรัสอีกครั้งเถิด”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อัมพัฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เธอเคยได้
ฟังพวกพราหมณ์ผู้แก่ผู้เฒ่าผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาอย่างไร พวก
กัณหายนะเกิดจากใครก่อน ใครคือบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ”
อัมพัฏฐมาณพกราบทูลว่า “ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าได้ฟังมาเหมือนกับที่ท่าน
พระโคดมตรัสนั่นแหละ พวกกัณหายนะเกิดมาจากนายกัณหะนั้นก่อน นายกัณหะ
นั้นคือบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ”

เรื่องอัมพัฏฐวงศ์

[273] เมื่ออัมพัฏฐมาณพกราบทูลอย่างนี้ พวกมาณพได้ส่งเสียงอื้ออึง
เซ็งแซ่ว่า “ได้ทราบว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติตระกูลต่ำ ไม่ใช่ลูกผู้มีตระกูล เป็นลูก
ของหญิงรับใช้ของพวกศากยะ ได้ทราบว่า พวกศากยะเป็นโอรสของเจ้านายของ
อัมพัฏฐมาณพ พวกเรากลับเข้าใจท่านพระสมณโคดมผู้เป็นธรรมวาทีว่าควรถูก
รุกราน”
[274] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริอย่างนี้ว่า ‘มาณพเหล่านี้
เหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพรุนแรงว่า เป็นลูกของหญิงรับใช้ ทางที่ดีเราควรช่วย
ปลดเปลื้อง’ จึงตรัสกะมาณพเหล่านั้นว่า “มาณพ พวกเธออย่าเหยียดหยาม
อัมพัฏฐมาณพรุนแรงว่าเป็นลูกของหญิงรับใช้เลย เพราะนายกัณหะนั้น (ต่อมา) ได้
เป็นฤๅษีคนสำคัญเดินทางไปยังทักขิณาชนบท เรียนพรหมมันตระ แล้วเข้าเฝ้า
พระเจ้าโอกกากราช กราบทูลขอพระราชธิดาพระนามว่ามัททรูปี พระเจ้าโอกกาก-
ราชทรงกริ้วไม่พอพระทัยตรัสว่า ‘เหวย ๆ เจ้าคนนี้มันใครกัน ก็แค่ลูกของหญิง
รับใช้ จะมาขอมัททรูปีธิดาของข้าได้’ จึงทรงขึ้นพระแสงศร แต่ไม่อาจจะทรงแผลงศร
ทั้งไม่อาจลดศรลงได้
ทันใดนั้น หมู่อำมาตย์ราชบริพารเข้าไปหากัณหฤๅษีกล่าวว่า ‘ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ ขอพระเจ้าอยู่หัวจงทรงพระเจริญ ๆ’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 9 หน้า :95 }