พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [3.อัมพัฏฐสูตร]
พระพุทธดำรัสว่าอัมพัฏฐมาณพเป็นลูกของหญิงรับใช้
อัมพัฏฐมาณพพูดกดศากยวงศ์ว่าเป็นคนรับใช้ครั้งที่ 3
[266] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อัมพัฏฐะ แม้นางนกไส้ยังพูดได้ตาม
ปรารถนาในรังของตน ก็นั่นกรุงกบิลพัสดุ์เป็นถิ่นของพวกศากยะ ท่านอัมพัฏฐะ
ไม่น่าจะกินแหนงแคลงใจเพราะเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้
เขากล่าวว่า ท่านพระโคดม วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์
แพศย์ และศูทร ในวรรณะทั้ง 4 นี้ แท้จริงแล้ว 3 วรรณะ คือ กษัตริย์ แพศย์
ศูทร เป็นคนบำเรอของพราหมณ์ การที่คนชาติศากยะซึ่งเป็นคนดุร้าย หยาบช้า
วู่วาม พูดพล่าม เป็นคนรับใช้ ไม่ยอมสักการะ เคารพ นับถือ บูชานอบน้อมพวก
พราหมณ์ เป็นการไม่เหมาะไม่ควรเลย
นี้เป็นครั้งที่ 3 ที่อัมพัฏฐมาณพพูดกดศากยวงศ์ว่าเป็นคนรับใช้
พระพุทธดำรัสว่าอัมพัฏฐมาณพเป็นลูกของหญิงรับใช้
[267] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่า อัมพัฏฐมาณพนี้ชอบ
เหยียดหยามพวกศากยะรุนแรงว่าเป็นคนรับใช้ ทางที่ดี เราควรถามถึงตระกูลดูบ้าง
จึงตรัสถามว่า อัมพัฏฐะ เธอมีตระกูล(โคตร)อย่างไร
เขาทูลตอบว่า ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าคือกัณหายนตระกูล(กัณหายนโคตร)
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อัมพัฏฐะ เมื่อเธอระลึกถึงตระกูลเก่าแก่ของบิดา
มารดาของเธอดู (จะรู้ว่า) พวกศากยะเป็นลูกเจ้า แต่เธอเป็นลูกของหญิงรับใช้ของ
พวกศากยะ ก็พวกศากยะพากันอ้างถึงพระเจ้าโอกกากราชว่าเป็นบรรพบุรุษของตน
อัมพัฏฐะ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้าโอกกากราชมีพระประสงค์จะพระราชทาน
ราชสมบัติแก่พระโอรสของพระมเหสีผู้เป็นที่โปรดปราน จึงรับสั่งให้เนรเทศพระ
ราชกุมารทั้ง 4 พระองค์ คือ พระอุกกามุขราชกุมาร พระกรกัณฑุราชกุมาร พระ
หัตถินิกราชกุมาร พระสินีปุรราชกุมาร ออกจากราชอาณาเขต พระราชกุมาร
เหล่านั้นถูกเนรเทศออกจากราชอาณาเขตแล้ว ก็เสด็จออกไปอาศัยอยู่ ณ ราวป่าไม้
สากะใหญ่ ริมฝั่งสระโบกขรณี เชิงภูเขาหิมพานต์ ทรงอยู่ร่วมเป็นสามีภรรยากับ
พระภคินีของพระองค์เอง เพราะเกรงพระชาติจะปนกับผู้อื่น