เมนู

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [3.อัมพัฏฐสูตร]
อัมพัฏฐมาณพพูดกตศากยวงศ์ว่าเป็นคนรับใช้ครั้งที่ 2

พราหมณ์ผู้ยืน พราหมณ์ผู้นั่งก็ควรสนทนากับพราหมณ์ผู้นั่ง พราหมณ์ผู้นอนก็ควร
สนทนากับพราหมณ์ผู้นอน แต่ข้าพเจ้ากำลังสนทนากับสมณะศีรษะโล้น ผู้เป็นคน
รับใช้ เป็นคนวรรณะต่ำ(กัณหโคตร) เกิดจากพระบาทของท้าวมหาพรหมเหมือน
ท่านพระโคดมต่างหาก”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อัมพัฏฐะ เธอมาที่นี่เพราะมีธุระก็ควรตระหนักถึงธุระ
นั้นไว้ให้ดี ท่านทั้งหลาย อัมพัฏฐมาณพนี้ไม่ได้รับการอบรมแต่สำคัญตนว่าได้รับ
การอบรมมาดี ไม่มีอะไรเลยนอกจากมารยาทของคนที่ไม่ได้รับการอบรม”
[264] ทันทีที่ถูกพระผู้มีพระภาคตรัสว่าเป็นคนไม่ได้รับการอบรม อัมพัฏฐ-
มาณพก็โกรธเคืองไม่พอใจ เมื่อจะข่มขู่พระผู้มีพระภาค เมื่อจะว่าร้ายพระผู้มีพระ
ภาค คิดว่า ‘เราจะทำให้พระสมณโคดมเสียหาย’ จึงได้กล่าวกะพระผู้มีพระภาคว่า
“ท่านพระโคดม คนชาติศากยะดุร้าย หยาบช้า วู่วาม พูดพล่าม เป็นคนรับใช้ ไม่
ยอมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อมพวกพราหมณ์ การที่คนชาติศากยะ
ซึ่งเป็นคนดุร้าย หยาบช้า วู่วาม พูดพล่าม เป็นคนรับใช้ ไม่ยอมสักการะ เคารพ
นับถือ บูชานอบน้อมพวกพราหมณ์ เป็นการไม่เหมาะไม่ควรเลย”
นี้เป็นครั้งที่ 1 ที่อัมพัฏฐมาณพพูดกดศากยวงศ์ว่าเป็นคนรับใช้

อัมพัฏฐมาณพพูดกดศากยวงศ์ว่าเป็นคนรับใช้ครั้งที่ 2

[265] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “อัมพัฏฐะ พวกเจ้าศากยะได้ทำผิดอะไร
ต่อเธอ”
เขาทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเดินทางไปกรุงกบิลพัสดุ์ด้วย
ธุระของพราหมณ์โปกขรสาติผู้เป็นอาจารย์ เข้าไปที่ท้องพระโรงของพวกศากยะ
เวลานั้น พวกศากยะและศากยกุมารจำนวนมาก กำลังนั่งใช้นิ้วมือสะกิดหยอกล้อ
กันอยู่บนอาสนะสูง ในท้องพระโรง เห็นจะหัวเราะเยาะข้าพเจ้าเป็นแน่ ไม่มีใคร
เชื้อเชิญให้ข้าพเจ้านั่งเลย ท่านพระโคดม การที่คนชาติศากยะซึ่งเป็นคนดุร้าย
หยาบช้า วู่วาม พูดพล่าม เป็นคนรับใช้ ไม่ยอมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา
นอบน้อมพวกพราหมณ์ เป็นการไม่เหมาะไม่ควรเลย”
นี้เป็นครั้งที่ 2 ที่อัมพัฏฐมาณพพูดกดศากยวงศ์ว่าเป็นคนรับใช้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 9 หน้า :91 }


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [3.อัมพัฏฐสูตร]
พระพุทธดำรัสว่าอัมพัฏฐมาณพเป็นลูกของหญิงรับใช้

อัมพัฏฐมาณพพูดกดศากยวงศ์ว่าเป็นคนรับใช้ครั้งที่ 3

[266] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อัมพัฏฐะ แม้นางนกไส้ยังพูดได้ตาม
ปรารถนาในรังของตน ก็นั่นกรุงกบิลพัสดุ์เป็นถิ่นของพวกศากยะ ท่านอัมพัฏฐะ
ไม่น่าจะกินแหนงแคลงใจเพราะเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้”
เขากล่าวว่า “ท่านพระโคดม วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์
แพศย์ และศูทร ในวรรณะทั้ง 4 นี้ แท้จริงแล้ว 3 วรรณะ คือ กษัตริย์ แพศย์
ศูทร เป็นคนบำเรอของพราหมณ์ การที่คนชาติศากยะซึ่งเป็นคนดุร้าย หยาบช้า
วู่วาม พูดพล่าม เป็นคนรับใช้ ไม่ยอมสักการะ เคารพ นับถือ บูชานอบน้อมพวก
พราหมณ์ เป็นการไม่เหมาะไม่ควรเลย”
นี้เป็นครั้งที่ 3 ที่อัมพัฏฐมาณพพูดกดศากยวงศ์ว่าเป็นคนรับใช้

พระพุทธดำรัสว่าอัมพัฏฐมาณพเป็นลูกของหญิงรับใช้

[267] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่า ‘อัมพัฏฐมาณพนี้ชอบ
เหยียดหยามพวกศากยะรุนแรงว่าเป็นคนรับใช้ ทางที่ดี เราควรถามถึงตระกูลดูบ้าง’
จึงตรัสถามว่า “อัมพัฏฐะ เธอมีตระกูล(โคตร)อย่างไร”
เขาทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าคือกัณหายนตระกูล(กัณหายนโคตร)”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อัมพัฏฐะ เมื่อเธอระลึกถึงตระกูลเก่าแก่ของบิดา
มารดาของเธอดู (จะรู้ว่า) พวกศากยะเป็นลูกเจ้า แต่เธอเป็นลูกของหญิงรับใช้ของ
พวกศากยะ ก็พวกศากยะพากันอ้างถึงพระเจ้าโอกกากราชว่าเป็นบรรพบุรุษของตน
อัมพัฏฐะ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้าโอกกากราชมีพระประสงค์จะพระราชทาน
ราชสมบัติแก่พระโอรสของพระมเหสีผู้เป็นที่โปรดปราน จึงรับสั่งให้เนรเทศพระ
ราชกุมารทั้ง 4 พระองค์ คือ พระอุกกามุขราชกุมาร พระกรกัณฑุราชกุมาร พระ
หัตถินิกราชกุมาร พระสินีปุรราชกุมาร ออกจากราชอาณาเขต พระราชกุมาร
เหล่านั้นถูกเนรเทศออกจากราชอาณาเขตแล้ว ก็เสด็จออกไปอาศัยอยู่ ณ ราวป่าไม้
สากะใหญ่ ริมฝั่งสระโบกขรณี เชิงภูเขาหิมพานต์ ทรงอยู่ร่วมเป็นสามีภรรยากับ
พระภคินีของพระองค์เอง เพราะเกรงพระชาติจะปนกับผู้อื่น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 9 หน้า :92 }