เมนู

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [1.พรหมชาลสูตร]
ทิฏฐิ 62 เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ 8

[80] ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย
แล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ 8 อย่างนี้
แล สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วไม่มี
สัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่า ไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุทั้ง 8 อย่างนี้หรือ
ด้วยมูลเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งใน 8 อย่างนี้ ไม่พ้นไปจากนี้ ฯลฯ อันเป็นเหตุให้คน
กล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตามความเป็นจริง

เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ 8
เห็นว่าอัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่

[81] ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า อัตตาหลังจาก
ตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญา
ก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ด้วยมูลเหตุ 8 อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัย
อะไรปรารภอะไรจึงมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา
ก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยมูลเหตุ
8 อย่าง
[82] สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมบัญญัติว่า
43. (1) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี
สัญญาก็มิใช่
44. (2) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่
มีสัญญาก็มิใช่
45. (3) อัตตาทั้งที่มีรูปและไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มี
สัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
46. (4) อัตตาที่มีรูปก็มิใช่ ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว
มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
47. (5) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี
สัญญาก็มิใช่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 9 หน้า :33 }


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [1.พรหมชาลสูตร] ทิฏฐิ 62 อุจเฉทวาทะ 7

48. (6) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่
ไม่มีสัญญาก็มิใช่
49. (7) อัตตาทั้งที่มีที่สุดและไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มี
สัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
50. (8) อัตตาที่มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว
มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
[83] ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย
แล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่า มีสัญญา
ก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยมูลเหตุ 8 อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุก
จำพวกมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ บัญญัติ
อัตตาหลังจากตายแล้วว่า มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยมูลเหตุทั้ง 8 อย่าง
นี้ หรือด้วยมูลเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งใน 8 อย่างนี้ ไม่พ้นไปจากนี้ ฯลฯ อันเป็นเหตุ
ให้คนกล่าวยกย่องตถาคตตามความเป็นจริง

อุจเฉทวาทะ1 7
เห็นว่าหลังจากตายแล้วอัตตาขาดสูญ

[84] ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่าหลังจากตายแล้ว
อัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์
ด้วยมูลเหตุ 7 อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมี
วาทะว่า หลังจากตายแล้ว อัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และ
ความไม่เกิดอีกของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ 7 อย่าง
[85] 51. (1) สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้มีวาทะมีทรรศนะอย่างนี้ว่า
‘ท่านผู้เจริญ อัตตานี้มีรูปมาจากมหาภูตรูป 4 เกิดจากบิดามารดา หลังจากตายแล้ว
อัตตาย่อมขาดสูญพินาศ ไม่เกิดอีก ด้วยเหตุเพียงเท่านี้อัตตานี้จึงขาดสูญเด็ดขาด’
สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของ
สัตว์อย่างนี้

เชิงอรรถ :
1 ลัทธิที่ถือว่าตายแล้วไม่เกิดอีก เป็นแนวคิดเชิงวัตถุนิยม ลัทธินี้ทำให้หมกมุ่นในกามสุข (ที.สี.อ. 84/110)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 9 หน้า :34 }