พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [13.เตวิชชสูตร]
เรื่องที่ตรัสเทียบเคียงระหว่างพรหมกับพราหมณ์
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทยังบังคับจิตให้อยู่ใน
อำนาจไม่ได้ แต่พรหมบังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้ ดังนั้น จะเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้
ได้ไตรเพทที่ยังบังคับจิตให้อยู่ในอำนาจไม่ได้กับพรหมผู้บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้
ละหรือ
เขาทูลตอบว่า เปรียบเทียบกันไม่ได้ ท่านพระโคดม
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ถูกละ วาเสฏฐะ การที่พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทที่ยัง
บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจไม่ได้ หลังจากตายแล้วจะถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหมผู้
บังคับจิตอยู่ในอำนาจได้ นั่นมิใช่ฐานะที่เป็นไปได้
[552] วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทเหล่านั้นจมลงแล้วก็ยังจะจมอยู่ต่อไป
ในโลกนี้ เมื่อจมแล้ว ก็ถึงความย่อยยับ แต่ก็ยังเข้าใจว่า ตนข้ามไปได้ง่าย ๆ ดังนั้น
เราจึงเรียกไตรเพทของพราหณ์ผู้ได้ไตรเพทว่า ป่าใหญ่คือไตรเพทบ้าง ดงกันดารคือ
ไตรเพทบ้าง ความพินาศคือไตรเพทบ้าง
[553] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ วาเสฏฐมาณพกราบทูลว่า ท่าน
พระโคดม ข้าพระองค์ได้ฟังมาว่า พระสมณโคดมทรงทราบทางไปเพื่อความเป็นผู้
อยู่ร่วมกับพระพรหม
พระผู้มีพระภาคตรัสย้อนถามว่า วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร หมู่
บ้านมนสากฏะอยู่ใกล้แค่นี้ ไม่ไกลไปจากนี้ใช่ไหม
เขาทูลตอบว่า เป็นเช่นนั้น ท่านพระโคดม
[554] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า วาเสฏฐะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร คน
ที่เติบโตมาในหมู่บ้านมนสากฏะนี้ เมื่อถูกถามถึงทางไปหมู่บ้านมนสากฏะที่เขาเพิ่ง
จะออกมา มีหรือที่เขาจะชักช้าหรือรีรออยู่
เขาทูลตอบว่า ไม่ชักช้าหรือรีรอเลย ท่านพระโคดม เพราะเขาเติบโตมาในหมู่
บ้านมนสากฏะ จึงรู้หนทางในหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า วาเสฏฐะ ผู้ที่เติบโตมาในหมู่บ้านมนสากฏะถูกถาม
ถึงทางไปหมู่บ้านนั้นก็ยังอาจจะชักช้าหรือรีรออยู่บ้าง แต่(เรา)ตถาคตถูกถามถึง