เมนู

พระวินัยปืฎก จูฬวรรค [10. ภิกขุนี ขันธกะ] 2. ทุติยภาณวาร
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีทั้งหลายไม่พึงแต้มหน้า ... ไม่
พึงทาแก้ม ... ไม่พึงเล่นหูเล่นตา ... ไม่พึงยืนแอบที่ประตู ... ไม่พึงให้ผู้อื่นฟ้อนรำ ...
ไม่พึงตั้งสำนักหญิงแพศยา ... ไม่พึงตั้งร้านขายสุรา ... ไม่พึงตั้งร้านขายเนื้อ ... ไม่พึง
ออกร้านขายของเบ็ดเตล็ด ... ไม่พึงประกอบการค้ากำไร ... ไม่พึงประกอบการค้าขาย
... ไม่พึงใช้ทาสให้ปรนนิบัติ ... ไม่พึงใช้ทาสีให้ปรนนิบัติ ... ไม่พึงใช้กรรมกรชายให้
ปรนนิบัติ ... ไม่พึงใช้กรรมกรหญิงให้ปรนนิบัติ ... ไม่พึงใช้สัตว์ดิรัจฉานให้ปรนนิบัติ ...
ไม่พึงขายของสดและของสุก ... ไม่พึงใช้สันถัตขนเจียมหล่อ รูปใดใช้ ต้องอาบัติ
ทุกกฏ”

เรื่องภิกษุณีใช้จีวรสีเขียวล้วน
[418] สมัยนั้น พวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์ห่มจีวรสีเขียวล้วน ... ห่มจีวรสีเหลือง
ล้วน ... ห่มจีวรสีแดงล้วน ... ห่มจีวรสีบานเย็นล้วน ... ห่มจีวรสีดำล้วน ... ห่มจีวร
สีแสด ... ห่มจีวรสีชมพู ... ห่มจีวรไม่ตัดชาย ... ห่มจีวรมีชายยาว ... ห่มจีวรมีชาย
เป็นลายดอกไม้ ...ห่มจีวรมีชายเป็นแผ่น ... สวมเสื้อ ... สวมหมวก
คนทั้งหลายตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ฯลฯ เหมือนหญิงคฤหัสถ์ผู้
บริโภคกาม”
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีไม่พึงห่มจีวรสีเขียวล้วน ... ไม่
พึงห่มจีวรสีเหลืองล้วน ... ไม่พึงห่มจีวรสีแดงล้วน ... ไม่พึงจีวรสีบานเย็นล้วน
... ไม่พึงห่มจีวรสีดำล้วน ... ไม่พึงห่มจีวรสีแสดล้วน ... ไม่พึงห่มจีวรสีชมพูล้วน ...
ไม่พึงห่มจีวรไม่ตัดชาย ... ไม่พึงห่มจีวรมีชายยาว ... ไม่พึงห่มจีวรมีชายเป็นลาย ดอกไม้
... ไม่พึงห่มจีวรมีชายเป็นแผ่น ... ไม่พึงสวมเสื้อ ... ไม่พึงสวมหมวก รูปใดสวม
ต้องอาบัติทุกกฏ”

เรื่องพินัยกรรมของภิกษุณีสงฆ์
[419] สมัยนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่ง กำลังจะมรณภาพ สั่งอย่างนี้ว่า “เมื่อดิฉัน
ล่วงลับไป บริขารของดิฉันจงเป็นของสงฆ์” บรรดาสหธรรมิกเหล่านั้น ภิกษุทั้งหลาย


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 7 หน้า :339 }


พระวินัยปืฎก จูฬวรรค [10. ภิกขุนี ขันธกะ] 2. ทุติยภาณวาร
กับภิกษุณีทั้งหลายโต้เถียงกันว่า “บริขารต้องเป็นของพวกเรา บริขารต้องเป็นของ
พวกเรา”
ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุณีกำลังจะมรณภาพสั่งอย่าง
นี้ว่า ‘เมื่อดิฉันล่วงลับไป บริขารของดิฉันจงเป็นของสงฆ์’ ภิกษุสงฆ์ไม่เป็นใหญ่ใน
บริขารนั้น บริขารนั้นตกเป็นของภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเดียว
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสิกขมานากำลังจะมรณภาพ ฯลฯ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสามเณรีกำลังจะมรณภาพ สั่งอย่างนี้ว่า ‘‘เมื่อดิฉันล่วงลับไป
บริขารของดิฉันจงเป็นของสงฆ์’ ภิกษุสงฆ์ไม่เป็นใหญ่ในบริขารนั้น บริขารนั้นตกเป็น
ของภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเดียว
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุกำลังจะมรณภาพ สั่งอย่างนี้ว่า ‘เมื่อเราล่วงลับไป
บริขารของเราจงเป็นของสงฆ์’ ภิกษุณีสงฆ์ไม่เป็นใหญ่ในบริขารนั้น บริขารนั้นตกเป็น
ของภิกษุสงฆ์ฝายเดียว
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสามเณรกำลังจะมรณภาพ ฯลฯ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอุบาสกกำลังจะตาย ฯลฯ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอุบาสิกากำลังจะตาย ฯลฯ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าผู้อื่น(นอกเหนือจากนี้)กำลังจะตาย สั่งอย่างนี้ว่า ‘เมื่อเรา
ล่วงลับไป บริขารของเราจงเป็นของสงฆ์’ ภิกษุณีสงฆ์ไม่เป็นใหญ่ในบริขารนั้น บริขาร
ตกเป็นของภิกษุสงฆ์ฝ่ายเดียว”

เรื่องภิกษุณีใช้ไหล่กระแทกภิกษุ
[420] สมัยนั้น สตรีคนหนึ่งเป็นอดีตภรรยาของนักมวย บวชในสำนักภิกษุณี
นางเห็นภิกษุทุพพลภาพที่ถนน จึงใช้ไหล่กระแทกให้เซ ภิกษุทั้งหลายตำหนิ ประณาม
โพนทะนาว่า “ไฉนภิกษุณีเห็นภิกษุทุพพลภาพที่ถนน จึงใช้ไหล่กระแทกให้เซเล่า”


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 7 หน้า :340 }