เมนู

พระวินัยปืฎก จูฬวรรค [7. สังฆเภท ขันธกะ] 1. ปฐมภาณวาร
สมัยนั้น ประชาชนพูดจริงทำจริง พระเจ้าภัททิยศากยะตรัสกับอนุรุทธศากยะ
ดังนี้ว่า “เพื่อนรัก ท่านโปรดรออยู่สัก 7 ปีเถิด พอพ้น 7 ปี เราทั้ง 2 จะออก
จากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วยกัน”
เจ้าอนุรุทธศากยะทูลว่า “7 ปี นานเกินไป เราไม่สามารถจะรอถึง 7 ปีได้”
พระเจ้าภัททิยศากยะตรัสว่า “เพื่อนรัก โปรดรอสัก 6 ปี ... 5 ปี ... 4 ปี
... 3 ปี ... 2 ปี ... 1 ปี ... เมื่อล่วง 1 ปี เราทั้ง 2 จะออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิตด้วยกัน”
เจ้าอนุรุทธศากยะทูลว่า “1 ปี ก็ยังนานเกินไป เราไม่สามารถรอถึง 1 ปีได้”
พระเจ้าภัททิยศากยะตรัสว่า “เพื่อนรัก ท่านโปรดรอสัก 7 เดือน พอพ้น 7
เดือน เราทั้ง 2 จะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วยกัน”
เจ้าอนุรุทธศากยะทูลว่า “7 เดือนก็ยังนานเกินไป เราไม่สามารถรอถึง 7 เดือน
ได้”
พระเจ้าภัททิยศากยะตรัสว่า “เพื่อนรัก ท่านโปรดรอสัก 6 เดือน ... 5
เดือน ... 4 เดือน ... 3 เดือน ... 2 เดือน ... 1 เดือน ... ครึ่งเดือน พอพ้น
ครึ่งเดือน เราทั้ง 2 จะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วยกัน”
เจ้าอนุรุทธศากยะทูลว่า “ครึ่งเดือนก็ยังนานเกินไป เราไม่สามารถรอถึงครึ่ง
เดือนได้”
พระเจ้าภัททิยศากยะตรัสว่า “เพื่อนรัก ท่านโปรดรอสัก 7 วันเถิด พอให้เรา
ได้มอบราชสมบัติแก่พวกลูก ๆ และญาติพี่น้อง”
เจ้าอนุรุทธศากยะทูลว่า “เพื่อนรัก 7 วันไม่นานเกินไป เราจะรอ”

เรื่องเจ้าศากยะทรงผนวช
[331] ครั้งนั้น พระเจ้าภัททิยศากยะ เจ้าอนุรุทธะ เจ้าอานนท์ เจ้าภคุ เจ้า
กิมพิละและเจ้าเทวทัต กับอุบาลีซึ่งเป็นช่างกัลบก รวมเป็น 7 คน เสด็จออกพร้อม
ด้วยเสนา 4 เหล่า เหมือนเสด็จประพาสราชอุทยานพร้อมเสนา 4 เหล่าในครั้ง
ก่อน


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 7 หน้า :170 }


พระวินัยปืฎก จูฬวรรค [7. สังฆเภท ขันธกะ] 1. ปฐมภาณวาร
ทั้ง 6 พระองค์นั้นเสด็จไปห่างไกลแล้วรับสั่งให้เสนากลับ เข้าพรมแดนของ
เจ้าเมืองอื่น ทรงเปลื้องเครื่องประดับเอาผ้าห่อแล้ว ได้ตรัสกับอุบาลีช่างกัลบกดังนี้
ว่า “อุบาลี เชิญท่านกลับเถิด ทรัพย์เหล่านี้พอเลี้ยงชีพได้”
ขณะเมื่ออุบาลีช่างกัลบกจะกลับได้มีความคิดดังนี้ว่า “พวกเจ้าศากยะทั้งหลาย
โหดร้ายนัก จะพึงให้ฆ่าเราด้วยเข้าพระทัยไปว่า ‘อุบาลีนี้ให้พระกุมารทั้งหลายหนีไป’
ก็พระศากยะกุมารเหล่านี้ยังออกจากเรือนทรงผนวชเป็นบรรพชิตได้ ไฉนเราจะบวช
บ้างไม่ได้” อุบาลีช่างกัลบกนั้นจึงแก้ห่อเครื่องประดับแล้วแขวนสิ่งของไว้บนต้นไม้แล้ว
กล่าวว่า “ผู้พบเห็นจงนำสิ่งของที่เราให้แล้วไปเถิด” แล้วเข้าไปเฝ้าศากยกุมาร เหล่านั้น
ถึงที่ประทับ ศากยกุมารเหล่านั้นได้ทอดพระเนตรเห็นอุบาลีกำลังเดินมาแต่ไกล
ครั้นแล้วได้รับสั่งกับอุบาลีช่างกัลบกดังนี้ว่า “นี่ อุบาลี ท่านกลับมาทำไม”
อุบาลีช่างกัลบกจึงกราบทูลว่า “พระลูกเจ้าทั้งหลาย เมื่อหม่อมฉันกำลังกลับ
ได้มีความคิดดังนี้ ว่า “พวกเจ้าศากยะทั้งหลายโหดร้ายนัก จะพึงให้ฆ่าเราด้วยเข้า
พระทัยไปว่า ‘อุบาลีนี้ให้พระกุมารทั้งหลายหนีไป’ ก็พระศากยกุมารเหล่านี้ยังออก
จากเรือนทรงผนวชเป็นบรรพชิตได้ ไฉนเราจะบวชบ้างไม่ได’ ข้าแต่พระลูกเจ้า
หม่อมฉันนั้นแก้ห่อเครื่องประดับแล้วแขวนสิ่งของไว้บนต้นไม้แล้วกล่าวว่า ‘ผู้พบเห็น
จงนำสิ่งของที่เราให้แล้วไปเถิด’ กลับจากที่นั้นแล้ว”
ศากยกุมารทั้งหลายตรัสว่า “ท่านทำดีแล้วที่ไม่ได้กลับไป เจ้าศากยะทั้งหลาย
ผู้โหดร้ายจะพึงให้ฆ่าท่าน ด้วยเข้าใจว่า ‘อุบาลีนี้ให้กุมารทั้งหลายหนีไป”
ต่อมา เหล่าศากยกุมารทั้งหลายพาอุบาลีผู้เป็นช่างกัลบกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควร
เจ้าศากยะทั้งหลายผู้ประทับนั่ง ณ ที่สมควรแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“พระพุทธเจ้าข้า พวกหม่อมฉันเป็นเจ้าศากยะยังมีความถือตัว อุบาลีผู้นี้เป็นช่าง
กัลบกรับใช้พวกข้าพระ พุทธเจ้ามานาน ขอพระองค์ทรงโปรดให้เขาบวชก่อน พวกข้า
พระพุทธเจ้าจะอภิวาท ลุกต้อนรับ ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรมแก่เขา เมื่อเป็นเช่นนี้
ความถือตัวว่าเป็นศากยะของพวกหม่อมฉันจักบรรเทาไป”


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 7 หน้า :171 }