เมนู

พระวินัยปิฎก จูฬวรรค [1. กัมมขันธกะ] 3. ปัพพาชนียกรรม

9. ไม่พึงตำหนิกรรม 10. ไม่พึงตำหนิภิกษุผู้ทำกรรม
11. ไม่พึงงดอุโบสถแก่ปกตัตตภิกษุ 12. ไม่พึงงดปวารณาแก่ปกตัตตภิกษุ
13. ไม่พึงทำการไต่สวน 14. ไม่พึงเริ่มอนุวาทาธิกรณ์
15. ไม่พึงขอโอกาสภิกษุอื่น 16. ไม่พึงโจทภิกษุอื่น
17. ไม่พึงให้ภิกษุอื่นให้การ 18. ไม่พึงชักชวนกันก่อความทะเลาะ

อัฏฐารสวัตตะในปัพพาชนียกรรม จบ

[29] ครั้งนั้น ภิกษุสงฆ์มีพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะเป็นประธานเดินทาง
ไปกีฏาคีรีชนบท ได้ลงปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุชื่ออัสสชิและปุนัพพสุกะให้ไปจากกีฏา
คีรีชนบทว่า “ภิกษุชื่ออัสสชิและปุนัพพสุกะไม่ควรอยู่ในกีฏาคีรีชนบท”
ภิกษุชื่ออัสสชิและปุนัพพสุกะ ถูกสงฆ์ลงปัพพาชนียกรรมแล้วก็ยังไม่ยอม
ประพฤติชอบ ไม่หายเย่อหยิ่ง ไม่ยอมกลับตัว ไม่ขอขมาพวกภิกษุ ยังด่าบริภาษ
การกสงฆ์1 ใส่ความว่าทำเพราะความชอบ เพราะความชัง เพราะความหลง เพราะ
ความกลัว หลีกไปบ้าง สึกไปบ้าง
ภิกษุผู้มักน้อยสันโดษ ฯลฯ ตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ไฉนภิกษุชื่อ
อัสสชิและปุนัพพสุกะถูกสงฆ์ลงปัพพาชนียกรรมแล้วก็ยังไม่ยอมประพฤติชอบ ไม่หาย
เย่อหยิ่ง ไม่ยอมกลับตัว ไม่ขอขมาพวกภิกษุ ยังด่าบริภาษการกสงฆ์ ใส่ความว่า
ทำเพราะความชอบ เพราะความชัง เพราะความหลง เพราะความกลัว หลีกไปบ้าง
สึกไปบ้าง” แล้วได้นำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ

ทรงประชุมสงฆ์สอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมสงฆ์เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ ทรง
สอบถามภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย ทราบว่า ภิกษุชื่ออัสสชิและปุนัพพสุกะ

เชิงอรรถ :
1 การกสงฆ์ คือ ภิกษุตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป เป็นผู้ดำเนินการในกิจการสำคัญอันเป็นสังฆกรรม

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 6 หน้า :60 }