เมนู

พระวินัยปิฎก จูฬรรค [4. สมถขันธกะ] 9. อธิกรณวูปสมนสมถะ
โจทก์และจำเลยทั้งสอง เป็นคู่ต่อสู้ในคดีอยู่พร้อมหน้ากัน นี้ชื่อว่า ความพร้อม
หน้าบุคคลในสัมมุขาวินัยนั้น
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอธิกรณ์ระงับอย่างนี้ ผู้ทำรื้อฟื้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ที่รื้อ
ฟื้น1 ผู้ให้ฉันทะติเตียน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ที่ติเตียน2
[229] ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเหล่านั้นไม่สามารถระงับอธิกรณ์นั้นในอาวาส
นั้นได้ พวกเธอพึงไปสู่อาวาสที่มีภิกษุมากกว่า ถ้าพวกเธอกำลังไปสู่อาวาสนั้นสามารถ
ระงับอธิกรณ์นั้นได้ในระหว่างทาง นี้เรียกว่า อธิกรณ์ระงับแล้ว
อธิกรณ์ระงับด้วยอะไร
ด้วยสัมมุขาวินัย
ในสัมมุขาวินัยนั้น มีอะไรบ้าง
มีความพร้อมหน้าสงฆ์ ความพร้อมหน้าธรรม ความพร้อมหน้าวินัย ความ
พร้อมหน้าบุคคล
อนึ่ง ความพร้อมหน้าสงฆ์ ในสัมมุขาวินัยนั้นอย่างไร
ภิกษุผู้เข้ากรรมมีจำนวนเท่าไร ภิกษุเหล่านั้นมาประชุมกัน นำฉันทะของผู้ควร
ฉันทะมา ผู้อยู่พร้อมหน้ากันไม่คัดค้าน นี้ชื่อว่า ความพร้อมหน้าสงฆ์ในสัมมุขาวินัย นั้น
อนึ่ง ความพร้อมหน้าธรรม ความพร้อมหน้าวินัย ในสัมมุขาวินัยนั้นอย่างไร
อธิกรณ์นั้นระงับโดยธรรม โดยวินัย และโดยสัตถุศาสน์ใด นี้ชื่อว่า ความ
พร้อมหน้าธรรม ความพร้อมหน้าวินัยในสัมมุขาวินัยนั้น
อนึ่ง ความพร้อมหน้าบุคคล ในสัมมุขาวินัยนั้นอย่างไร
โจทก์และจำเลยทั้งสอง เป็นคู่ต่อสู้ในคดีอยู่พร้อมหน้ากัน นี้ชื่อว่า ความพร้อม
หน้าบุคคล ในสัมมุขาวินัยนั้น

เชิงอรรถ :
1 อาบัติปาจิตตีย์ที่รื้อฟื้น เรียกว่า อุกโกฏนกปาจิตตีย์
2 อาบัติปาจิตตีย์ที่ติเตียน เรียกว่า ขียนกปาจิตตีย์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 6 หน้า :346 }


พระวินัยปิฎก จูฬรรค [4. สมถขันธกะ] 9. อธิกรณวูปสมนสมถะ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอธิกรณ์ระงับอย่างนี้ ผู้ทำรื้อฟื้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ที่
รื้อฟื้น ผู้ให้ฉันทะติเตียน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ที่ติเตียน
[230] ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเหล่านั้นกำลังไปสู่อาวาสนั้น ไม่สามารถระงับ
อธิกรณ์นั้นในระหว่างทางได้ พวกเธอไปถึงอาวาสนั้นแล้ว พึงกล่าวกับภิกษุที่อยู่
ประจำในอาวาสว่า “ท่านทั้งหลาย อธิกรณ์นี้เกิดแล้วอย่างนี้ อุบัติแล้วอย่างนี้
ขอโอกาสท่านทั้งหลาย จงระงับอธิกรณ์นี้โดยธรรม โดยวินัย และโดยสัตถุศาสน์
ตามวิถีทางที่อธิกรณ์นี้จะระงับด้วยดี”
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกภิกษุที่อยู่ประจำในอาวาสเป็นผู้แก่พรรษากว่า พวก
ภิกษุอาคันตุกะอ่อนพรรษากว่า พวกเธอพึงกล่าวกับภิกษุอาคันตุกะว่า “ท่านทั้งหลาย
ขอนิมนต์ท่านทั้งหลายจงรวมอยู่ ณ ที่สมควรสักครู่หนึ่ง ตลอดเวลาที่พวกผมจะ
ปรึกษากัน” แต่ถ้าพวกภิกษุที่อยู่ประจำในอาวาสเป็นผู้อ่อนกว่า พวกภิกษุอาคันตุกะ
แก่กว่า พวกเธอพึงกล่าวกับภิกษุอาคันตุกะว่า “ท่านทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น ขอท่าน
ทั้งหลายจงอยู่ ณ ที่นี้สักครู่หนึ่งจนกว่าพวกผมจะปรึกษากัน”
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกภิกษุที่อยู่ประจำในอาวาสกำลังปรึกษา คิดกันอย่างนี้ว่า
“พวกเราไม่สามารถระงับอธิกรณ์นี้โดยธรรม โดยวินัยและโดยสัตถุศาสน์” พวกเธอ
ไม่พึงรับอธิกรณ์นั้นไว้ แต่ถ้ากำลังปรึกษา คิดกันอย่างนี้ว่า “พวกเราสามารถ ระงับ
อธิกรณ์นี้ได้โดยธรรม โดยวินัย และโดยสัตถุศาสน์” พวกเธอพึงกล่าวกะพวก ภิกษ
ุอาคันตุกะว่า “ท่านทั้งหลาย ถ้าพวกท่านจักแจ้งอธิกรณ์นี้ตามที่เกิดแล้ว ตามที่อุบัติ
แล้วแก่พวกเรา เหมือนอย่างพวกเราจักระงับอธิกรณ์นี้โดยธรรม โดยวินัย และโดย
สัตถุศาสน์ ฉันใด อธิกรณ์นี้จักระงับด้วยดีฉันนั้น อย่างนี้พวกเราจึงจักรับ อธิกรณ์นี้
ถ้าพวกท่านจักไม่แจ้งอธิกรณ์นี้ตามที่เกิดแล้ว ตามที่อุบัติแล้วแก่พวกเรา เหมือนอย่าง
พวกเราจักระงับอธิกรณ์นี้โดยธรรม โดยวินัย และโดยสัตถุศาสน์ ฉันใด อธิกรณ์นี้
จักไม่ระงับด้วยดี ฉันนั้น พวกเราจักไม่รับอธิกรณ์นี้”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 6 หน้า :347 }