เมนู

พระวินัยปิฎก จูฬรรค [4. สมถขันธกะ] 3. อมูฬหวินัย
อาจิณมากมาย ทั้งที่กล่าวด้วยวาจาและพยายามทำด้วยกาย ภิกษุทั้งหลายโจท
กระผมด้วยอาบัติที่กระผมผู้วิกลจริต มีจิตแปรปรวน ประพฤติละเมิดสิ่งที่ไม่
สมควรแก่สมณะเป็นอาจิณมากมายว่า ‘ท่านต้องอาบัติแล้ว จงระลึกอาบัติเห็นปานนี้’
กระผมกล่าวกับภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านทั้งหลาย กระผมวิกลจริต มีจิต
แปรปรวนเสียแล้ว กระผมนั้นวิกลจริต มีจิตแปรปรวน ได้ประพฤติละเมิดสิ่งที่ไม่
สมควรแก่สมณะเป็นอาจิณมากมาย ทั้งที่กล่าวด้วยวาจาและพยายามทำด้วยกาย
กระผมระลึกอาบัตินั้นไม่ได้ กระผมหลงได้ทำสิ่งนี้แล้ว’ ภิกษุทั้งหลายแม้กระผม
กล่าวอยู่อย่างนี้ ก็ยัง โจทกระผมอยู่นั่นเองว่า ‘ท่านต้องอาบัติแล้ว จงระลึกอาบัติเห็น
ปานนี้’ ท่านผู้เจริญ กระผมนั้นหายหลงแล้ว ขออมูฬหวินัยกับสงฆ์”
พึงขอแม้ครั้งที่ 2 ฯลฯ
พึงขอแม้ครั้งที่ 3 ว่า “ท่านผู้เจริญ กระผมวิกลจริต มีจิตแปรปรวนเสียแล้ว
กระผมนั้นวิกลจริต มีจิตแปรปรวน ได้ประพฤติละเมิดสิ่งที่ไม่สมควรแก่สมณะเป็น
อาจิณมากมาย ทั้งที่กล่าวด้วยวาจาและพยายามทำด้วยกาย ภิกษุทั้งหลายโจท
กระผม ด้วยอาบัติที่กระผมผู้วิกลจริต มีจิตแปรปรวน ประพฤติละเมิดสิ่งที่ไม่
สมควรแก่สมณะเป็นอาจิณมากมายแล้วว่า ‘ท่านต้องอาบัติแล้ว จงระลึกอาบัติเห็น
ปานนี้’ กระผมกล่าวกับภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านทั้งหลาย กระผมวิกลจริต มี
จิตแปรปรวนเสียแล้ว กระผมนั้นวิกลจริต มีจิตแปรปรวน ได้ประพฤติละเมิดสิ่งที่
ไม่สมควรแก่สมณะเป็นอาจิณมากมาย ทั้งที่กล่าวด้วยวาจาและพยายามทำด้วยกาย
กระผมระลึกอาบัตินั้นไม่ได้ กระผมหลงได้ทำสิ่งนี้แล้ว’ ภิกษุทั้งหลายแม้กระผม
กล่าวอยู่อย่างนี้ ก็ยังโจทกระผมอยู่นั้นเองว่า ‘ท่านต้องอาบัติแล้ว จงระลึกอาบัติ
เห็นปานนี้’ ท่านผู้เจริญ กระผมนั้นหายวิกลจริตแล้ว ขออมูฬหวินัยกับสงฆ์”
ภิกษุผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาว่า
[197] ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุชื่อคัคคะนี้วิกลจริต มีจิต
แปรปรวน ภิกษุชื่อคัคคะนั้นวิกลจริต มีจิตแปรปรวน ได้ประพฤติละเมิดสิ่งที่ไม่
สมควรแก่สมณะเป็นอาจิณมากมาย ทั้งที่กล่าวด้วยวาจาและพยายามทำด้วยกาย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 6 หน้า :311 }


พระวินัยปิฎก จูฬรรค [4. สมถขันธกะ] 3. อมูฬหวินัย
ภิกษุทั้งหลายโจท ภิกษุชื่อคัคคะด้วยอาบัติที่ท่านผู้วิกลจริต มีจิตแปรปรวน
ประพฤติละเมิดสิ่งที่ไม่สมควรแก่สมณะเป็นอาจิณมากมายว่า ‘ท่านต้องอาบัติแล้ว
จงระลึกอาบัติเห็นปานนี้’ ภิกษุชื่อคัคคะนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ กระผม
วิกลจริต มีจิตแปรปรวนเสียแล้ว กระผมนั้นวิกลจริต มีจิตแปรปรวน ได้ประพฤติ
ละเมิดสิ่งที่ไม่สมควรแก่สมณะเป็นอาจิณมากมาย ทั้งที่กล่าวด้วยวาจาและพยายาม
ทำด้วยกาย กระผมระลึกอาบัตินั้นไม่ได้ กระผมหลงได้ทำสิ่งนี้แล้ว’ ภิกษุทั้งหลาย
แม้ภิกษุชื่อคัคคะนั้นกล่าวอยู่อย่างนี้ ก็ยังโจทภิกษุชื่อคัคคะนั้นอยู่นั่นเองว่า ‘ท่าน
ต้องอาบัติแล้ว จงระลึกอาบัติเห็นปานนี้’ ภิกษุชื่อคัคคะนั้นหายวิกล จริตแล้วขอ
อมูฬวินัยกับสงฆ์ ถ้าสงฆ์พร้อมกันแล้ว สงฆ์พึงให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุชื่อคัคคะ ผู้
หายวิกลจริตแล้ว นี่เป็นญัตติ
ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุชื่อคัคคะนี้วิกลจริต มีจิตแปรปรวน
ท่านวิกลจริต มีจิตแปรปรวน ได้ประพฤติละเมิดสิ่งที่ไม่สมควรแก่สมณะเป็นอาจิณ
มากมาย ทั้งที่กล่าวด้วยวาจาและพยายามทำด้วยกาย ภิกษุทั้งหลายโจทภิกษุชื่อ
คัคคะด้วยอาบัติที่ภิกษุชื่อคัคคะนั้นผู้วิกลจริต มีจิตแปรปรวน ประพฤติละเมิดสิ่งที่
ไม่สมควรแก่สมณะ เป็นอาจิณมากมายว่า ‘ท่านต้องอาบัติแล้ว จงระลึกอาบัติเห็น
ปานนี้’ ภิกษุชื่อคัคคะนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ กระผมวิกลจริต มีจิตแปร
ปรวนเสียแล้ว กระผมนั้นวิกล จริต มีจิตแปรปรวน ได้ประพฤติละเมิดสิ่งที่ไม่
สมควรแก่สมณะเป็นอาจิณมากมาย ทั้งที่กล่าวด้วยวาจาและพยายามทำด้วยกาย
กระผมระลึกอาบัตินั้นไม่ได้ กระผมหลงได้ทำสิ่งนี้แล้ว’ ภิกษุทั้งหลายแม้ภิกษุชื่อ
คัคคะนั้นกล่าวอยู่อย่างนั้น ก็ยังโจทภิกษุชื่อคัคคะนั้นอยู่อย่างนั่นเองว่า ‘ท่านต้องอาบัติ
แล้ว จงระลึกอาบัติเห็นปานนี้” ภิกษุชื่อคัคคะนั้นหายวิกลจริตแล้ว ขออมูฬหวินัย
กับสงฆ์ สงฆ์ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุชื่อคัคคะผู้หายวิกลจริตแล้ว ท่านรูปใดเห็นด้วย
กับการให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุชื่อคัคคะผู้หายวิกลจริตแล้ว ท่านรูปนั้นพึงนิ่ง ท่านรูปใด
ไม่เห็นด้วย ท่านรูปนั้นพึงทักท้วง
แม้ครั้งที่ 2 ข้าพเจ้ากล่าวความนี้ว่า ฯลฯ
แม้ครั้งที่ 3 ข้าพเจ้ากล่าวความนี้ว่า ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 6 หน้า :312 }