พระวินัยปิฎก จูฬรรค [4. สมถขันธกะ] 2. สติวินัย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ทัพพะ บัณฑิตย่อมไม่แก้คำกล่าวหาอย่างนี้ ถ้า
เธอทำก็จงบอกว่าทำ ถ้าเธอไม่ได้ทำ ก็จงบอกว่าไม่ได้ทำ
พระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ตั้งแต่เกิดมา ข้าพระ-
พุทธเจ้าไม่รู้จักการเสพเมถุนธรรมแม้ในความฝัน ไม่จำต้องกล่าวถึงเมื่อตอนตื่นอยู่
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย
ถ้าอย่างนั้น เธอทั้งหลายจงให้นางภิกษุณีเมตติยาสึก จงสอบถามภิกษุเหล่านี้ แล้ว
เสด็จจากที่ประทับเข้าพระวิหาร
หลังจากนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงให้นางภิกษุณีเมตติยาสึก แต่พระเมตติยะและ
พระภุมมชกะได้แจ้งภิกษุทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายอย่าให้นางภิกษุณีเมตติยาสึกเลย
นางไม่มีความผิด พวกกระผมโกรธ ไม่พอใจ ต้องการให้พระทัพพมัลลบุตรพ้นจาก
พรหมจรรย์ จึงชักจูงนาง
ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย พวกท่านใส่ความพระทัพพมัลลบุตร
ด้วยสีลวิบัติที่ไม่มีมูลหรือ
บรรดาภิกษุผู้มักน้อยพากันตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า ไฉนพระเมตติยะ
และพระภุมมชกะจึงใส่ความท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยด้วยสีลวิบัติที่ไม่มีมูลเล่า แล้ว
จึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย ทราบว่า ภิกษุ
เมตติยะและภิกษุภุมมชกะใส่ความทัพพมัลลบุตรด้วยสีลวิบัติที่ไม่มีมูล จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า ฯลฯ
ครั้นทรงตำหนิแล้ว ฯลฯ ทรงแสดงธรรมีกถา รับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงให้สติวินัยแก่ทัพพมัลลบุตรผู้ถึงความไพบูลย์แห่ง
สติแล้ว