เมนู

พระวินัยปิฎก จูฬวรรค [3. สมุจจยขันธกะ] 8. เทฺวภิกขุวารเอกาทสกะ
ภิกษุ 2 รูป ต้องลหุกาบัติล้วน ภิกษุเหล่านั้นมีความเห็นในลหุกาบัติล้วน
ว่าเป็นลหุกาบัติล้วน รูปหนึ่งปิดไว้ รูปหนึ่งไม่ได้ปิดไว้ รูปใดปิดไว้ สงฆ์พึงให้รูปนั้น
แสดงอาบัติทุกกฏ พึงปรับภิกษุทั้ง 2 รูปตามธรรม (7)
ภิกษุ 2 รูป ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ภิกษุเหล่านั้นมีความเห็นในอาบัติ
สังฆาทิเสสว่าเป็นอาบัติสังฆาทิเสส รูปหนึ่งคิดว่า “จักบอก” รูปหนึ่งคิดว่า “จักไม่บอก”
ภิกษุนั้นปิดไว้ถึงยามที่หนึ่งบ้าง ปิดไว้ถึงยามที่สองบ้าง ปิดไว้ถึงยามที่สามบ้าง เมื่อ
อรุณขึ้นแล้วเป็นอันปิดอาบัติ รูปใดปิดไว้ สงฆ์พึงให้รูปนั้นแสดงอาบัติทุกกฏ และ
พึงให้ปริวาสในกองอาบัติตามที่ปิดไว้แก่รูปที่ปิดนั้น แล้วให้มานัตแก่ภิกษุทั้ง 2 รูป
(8)
ภิกษุ 2 รูป ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ภิกษุเหล่านั้นมีความเห็นในอาบัติ
สังฆาทิเสสว่าเป็นอาบัติสังฆาทิเสส จึงไปด้วยคิดว่า “จักบอก” ในระหว่างทาง รูป
หนึ่งเกิดความคิดลบหลู่ว่า “จักไม่บอก” ภิกษุนั้นปิดไว้ถึงยามที่หนึ่งบ้าง ปิดไว้ถึง
ยามที่สองบ้าง ปิดไว้ถึงยามที่สามบ้าง เมื่ออรุณขึ้นแล้วเป็นอันปิดอาบัติ รูปใดปิดไว้
สงฆ์พึงให้รูปนั้นแสดงอาบัติทุกกฏ และพึงให้ปริวาสในกองอาบัติตามที่ปิดไว้แก่รูปที่
ปิดนั้น แล้วให้มานัตแก่ภิกษุทั้ง 2 รูป (9)
ภิกษุ 2 รูป ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ภิกษุเหล่านั้นมีความเห็นในอาบัติ
สังฆาทิเสสว่าเป็นอาบัติสังฆาทิเสส แล้วเกิดวิกลจริต ภายหลังหายวิกลจริตแล้ว
รูปหนึ่งปิดไว้ รูปหนึ่งไม่ได้ปิดไว้ รูปใดปิดไว้ สงฆ์พึงให้รูปนั้นแสดงอาบัติทุกกฏและ
พึงให้ปริวาสในกองอาบัติตามที่ปิดไว้แก่รูปที่ปิดนั้น แล้วให้มานัตแก่ภิกษุทั้ง 2 รูป
(10)
ภิกษุ 2 รูป ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เมื่อภิกษุกำลังยกพระปาติโมกข์ขึ้น
แสดงอยู่ ภิกษุเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบเดี๋ยวนี้เองว่า ‘ได้ยิน
ว่า ธรรมแม้นี้มาในสูตร นับเนื่องในสูตร มาสู่อุทเทสทุกกึ่งเดือน” ภิกษุเหล่านั้นมี
ความเห็นในอาบัติสังฆาทิเสสว่าเป็นอาบัติสังฆาทิเสส รูปหนึ่งปิดไว้ รูปหนึ่งไม่ได้ปิด


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 6 หน้า :281 }


พระวินัยปิฎก จูฬวรรค [3. สมุจจยขันธกะ] 9. มูลายอวิสุทธินวกะ
ไว้ รูปใดปิดไว้ สงฆ์พึงให้รูปนั้นแสดงอาบัติทุกกฏ และพึงให้ปริวาสในกองอาบัติ
ตามที่ปิดไว้แก่รูปที่ปิดนั้น แล้วให้มานัตแก่ภิกษุทั้ง 2 รูป (11)
เทฺวภิกขุวารเอกาทสกะ จบ

9. มูลายอวิสุทธินวกะ
ว่าด้วยความไม่หมดจดจากอาบัติเดิม 9 กรณี
[182] ภิกษุทั้งหลาย ก็ในกรณีนี้ ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว
มีจำนวนนับได้บ้าง มีจำนวนนับไม่ได้บ้าง มีชื่ออย่างเดียวกันบ้าง มีชื่อต่างกันบ้าง
เป็นสภาคกันบ้าง ไม่เป็นสภาคกันบ้าง กำหนดได้บ้าง กระจายไปบ้าง ภิกษุนั้นขอ
สโมธานปริวาสเพื่ออาบัติเหล่านั้นกับสงฆ์ สงฆ์ให้สโมธานปริวาสเพื่ออาบัติเหล่านั้น
แก่ภิกษุนั้น เมื่อภิกษุนั้นกำลังอยู่ปริวาส ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัวในระหว่าง มี
จำนวนนับได้ ไม่ได้ปิดไว้ จึงขอการชักเข้าหาอาบัติเดิมเพื่ออาบัติในระหว่างกับสงฆ์
สงฆ์ชักภิกษุนั้นเข้าหาอาบัติเดิม เพื่ออาบัติในระหว่างด้วยกรรมที่ชอบธรรม ไม่กำเริบ
ควรแก่ฐานะ ให้สโมธานปริวาสโดยชอบธรรม ให้มานัตโดยไม่ชอบธรรม อัพภาน
โดยไม่ชอบธรรม ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นยังไม่หมดจดจากอาบัติเหล่านั้น (1)
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว มีจำนวน
นับได้บ้าง มีจำนวนนับไม่ได้บ้าง มีชื่ออย่างเดียวกันบ้าง มีชื่อต่างกันบ้าง เป็น
สภาคกันบ้าง ไม่เป็นสภาคกันบ้าง กำหนดได้บ้าง กระจายไปบ้าง ภิกษุนั้นขอ
สโมธานปริวาสเพื่ออาบัติเหล่านั้นกับสงฆ์ สงฆ์ให้สโมธานปริวาสเพื่ออาบัติเหล่านั้น
แก่ภิกษุนั้น เมื่อภิกษุนั้นกำลังอยู่ปริวาสต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัวในระหว่าง
มีจำนวนนับได้ ปิดไว้ จึงขอการชักเข้าหาอาบัติเดิม เพื่ออาบัติในระหว่างกับสงฆ์
สงฆ์ชักภิกษุนั้นเข้าหาอาบัติเดิมเพื่ออาบัติในระหว่าง ด้วยกรรมที่ชอบธรรม ไม่กำเริบ
ควรแก่ฐานะ ให้สโมธานปริวาสโดยชอบธรรม ให้มานัตโดยไม่ชอบธรรม อัพภาน
โดยไม่ชอบธรรม ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นยังไม่หมดจดจากอาบัติเหล่านั้น (2)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 6 หน้า :282 }