เมนู

พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 239. เทฺวนิสสารณาทิกถา
เรื่องบุคคลที่ควรรับเข้าหมู่ 32 จำพวก
2. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่ยังไม่ถูกรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับบุคคลนั้น
เข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าดีแล้ว เป็นอย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย คนมือด้วนที่ยังไม่ถูกรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่ เป็นอันรับ
เข้าดี ... คนเท้าด้วน ... ... คนทั้งมือทั้งเท้าด้วน ... ... คนหูวิ่น ... ... คนจมูกแหว่ง
... ... คนทั้งหูวิ่นทั้งจมูกแหว่ง ... ... คนนิ้วมือนิ้วเท้าขาด ... ... คนง่ามมือง่ามเท้า
ขาด ... ... คนเอ็นขาด ... ... คนมือเป็นแผ่น ... ... คนค่อม ... ... คนเตี้ย ...
... คนคอพอก ... ... คนถูกสักหมายโทษ ... ... คนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย ... ... คนมี
หมายจับ ... ... คนเท้าปุก ... ... คนมีโรคเรื้อรัง ... ... คนมีรูปร่างไม่สมประกอบ ...
... คนตาบอดข้างเดียว ... ... คนง่อย ... ... คนกระจอก ... ... คนเป็นโรคอัมพาต
... ... คนเคลื่อนไหวเองไม่ได้ ... ... คนชราทุพพลภาพ ... ... คนตาบอดสองข้าง ...
... คนใบ้ ... ... คนหูหนวก ... ... คนทั้งบอดทั้งใบ้ ... ... คนทั้งบอดทั้งหนวก
... ... คนทั้งใบ้ทั้งหนวก ... ภิกษุทั้งหลาย คนทั้งบอดทั้งใบ้ ทั้งหนวกที่ยังไม่ได้ถูก
รับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับเธอเข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าดีแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประเภทนี้ เรียกว่าที่ยังไม่ถูกรับเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับ
บุคคลประเภทนี้เข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าดีแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้ เรียกว่าที่ยังไม่ถูกเรียกเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์รับ
บุคคลเหล่านี้เข้าหมู่ เป็นอันรับเข้าดีแล้ว
วาสภคามภาณวารที่ 1 จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :284 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [9. จัมเปยยขันธกะ] 240. อธัมมกัมมาทิกถา
240. อธัมมกัมมาทิกถา
ว่าด้วยกรรมที่ไม่ชอบธรรมเป็นต้น

เรื่องการลงอุกเขปนียกรรมที่ไม่ชอบธรรม 7 กรณี
[397] ภิกษุทั้งหลาย ก็ในกรณีนี้ ภิกษุไม่มีอาบัติที่พึงเห็น สงฆ์ ภิกษุ
หลายรูป หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว เห็นอาบัตินั้นไหม”
ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่พึงเห็น” สงฆ์จึงลงอุกเขปนีย
กรรมภิกษุนั้นเพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติ ชื่อว่ากรรมไม่ชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุไม่มีอาบัติที่พึงทำคืน สงฆ์ ภิกษุหลายรูป
หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว จงทำคืนอาบัตินั้น”
ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีอาบัติที่พึงทำคืน” สงฆ์จึงลง
อุกเขปนียกรรมภิกษุนั้นเพราะไม่ทำคืนอาบัติ ชื่อว่ากรรมไม่ชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุไม่มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ สงฆ์ ภิกษุ
หลายรูป หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านมีทิฏฐิบาป จงสละทิฏฐิบาปนั้น”
ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ผมไม่มีทิฏฐิบาปที่พึงสละ” สงฆ์จึงลง
อุกเขปนียกรรมภิกษุนั้นเพราะไม่สละทิฏฐิบาป ชื่อว่ากรรมไม่ชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุไม่มีอาบัติที่พึงเห็น ไม่มีอาบัติที่พึง
ทำคืน สงฆ์ ภิกษุหลายรูป หรือรูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว
เห็นอาบัตินั้นไหม จงทำคืนอาบัตินั้น” ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย
ผมไม่มีอาบัติที่พึงเห็น ผมไม่มีอาบัติที่พึงทำคืน” สงฆ์จึงลงอุกเขปนียกรรมภิกษุนั้น
เพราะไม่เห็นว่าเป็นอาบัติ หรือเพราะไม่ทำคืนอาบัติ ชื่อว่ากรรมไม่ชอบธรรม
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ภิกษุไม่มีอาบัติที่พึงเห็น ไม่มีทิฏฐิบาปที่
พึงสละ สงฆ์ ภิกษุหลายรูปหรือ รูปเดียวโจทภิกษุนั้นว่า “ท่าน ท่านต้องอาบัติแล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 5 หน้า :285 }