เมนู

พระวินัยปิฎก มหาวรรค [1.มหาขันธกะ] 14. สารีปุตตโมคคัลลานปัพพัชชากถา
หลังจากนั้น สารีบุตรและโมคคัลลานะได้พาปริพาชก 250 คนนั้น มุ่งหน้าไป
ทางพระเวฬุวัน โลหิตร้อนก็พุ่งออกจากปากของสัญชัยปริพาชก ณ ที่นั้นเอง

ทรงพยากรณ์พระอัครสาวก
พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นสารีบุตรและโมคคัลลานะเดินมาแต่ไกล
แล้วรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย สหายทั้ง 2 คนนั้น คือโกลิตะ
และอุปติสสะกำลังมา นั่นจักเป็นคู่สาวกชั้นยอด เป็นคู่ที่เจริญของเรา”
ท่านสารีบุตรและท่านโมคคัลลานะ ผู้น้อมจิตไปในธรรม
อันยอดเยี่ยม ลึกซึ้ง เป็นวิสัยแห่งญาณ เป็นที่สิ้นอุปธิ
ยังมาไม่ถึงพระเวฬุวัน พระศาสดาก็ทรงพยากรณ์แล้วว่า
“สหายทั้ง 2 คนนั้น คือโกลิตะและอุปติสสะ
กำลังมา นั่นจักเป็นคู่สาวกชั้นยอด เป็นคู่ที่เจริญของเรา”

ทูลขอการบรรพชาอุปสมบท
ต่อมา สารีบุตรและโมคคัลลานะได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วซบ
ศีรษะแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวก
ข้าพระองค์พึงได้การบรรพชา พึงได้การอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “พวกเธอจงมาเป็นภิกษุเถิด” แล้วตรัสต่อไปว่า
“ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด”
พระวาจานั้นแล ได้เป็นการอุปสมบทของท่านเหล่านั้น1

เชิงอรรถ :
1 ท่านโกลิตะหรือพระโมคคัลลานะหลังจากบวชได้ 7 วัน ไปพักอาศัยอยู่ ณ บ้านกัลลวาฬคาม
(กัลล วาฬมุตตคาม) บำเพ็ญสมณธรรม ฟังธรรมว่าด้วยธาตุกัมมัฏฐานจากพระพุทธเจ้า บรรลุพระอรหัตตผล
ถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณตามที่ตั้งความปรารถนาไว้
ส่วนท่านอุปติสสะ หรือพระสารีบุตร หลังจากบวชได้ 15 วัน ไปพักอาศัยอยู่ ณ ถ้ำสูกรขาตา
เขตกรุงราชคฤห์ พร้อมกับพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงเวทนาปริคคหสูตรแก่หลานชายของ
ท่านชื่อทีฆนขปริพาชก พระสารีบุตรส่งญาณไปตามแนวพระสูตร บรรลุพระอรหัตตผล ถึงที่สุดแห่งสาวก
บารมีญาณตามที่ตั้งความปรารถนาไว้ (สารตฺถ.ฏีกา. 3/62/277-278)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 4 หน้า :77 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [1.มหาขันธกะ] 14. สารีปุตตโมคคัลลานปัพพัชชากถา
เรื่องกุลบุตรชาวมคธมีชื่อเสียงบรรพชา
[63] สมัยนั้น พวกกุลบุตรชาวมคธที่มีชื่อเสียง พากันประพฤติพรหมจรรย์
ในสำนักพระผู้มีพระภาค คนทั้งหลายจึงพากันตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า
“พระสมณโคดมปฏิบัติเพื่อให้ชายไม่มีบุตร เพื่อให้หญิงเป็นม่าย และเพื่อความ
ขาดสูญแห่งตระกูล บัดนี้ พระสมณโคดมบวชชฎิล 1,000 คนแล้ว และบวช
ปริพาชกผู้เป็นศิษย์ของสัญชัย 250 คนแล้ว และพวกกุลบุตรชาวมคธเหล่านี้ที่
มีชื่อเสียง ก็พากันประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระสมณโคดม”
อนึ่ง คนทั้งหลายเห็นพวกภิกษุก็พากันโจทด้วยคาถานี้ว่า
“พระมหาสมณะเสด็จมาสู่พระคิริพชนคร1ของชาวมคธ
ทรงนำปริพาชกผู้เป็นศิษย์ของสัญชัยไปหมดแล้ว
บัดนี้ยังจักทรงนำใครไปอีกเล่า”
ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นตำหนิ ประณาม โพนทะนา จึงนำเรื่องนี้ไป
กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เสียงนั้นคงอยู่ไม่นาน จักมีเพียง 7
วันเท่านั้น พ้น 7 วัน จักหายไป ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ชนเหล่าใดโจท
พวกเธอด้วยคาถานี้ว่า
“พระมหาสมณะเสด็จมาสู่พระคิริพชนครของชาวมคธ
ทรงนำปริพาชกผู้เป็นศิษย์ของสัญชัยไปหมดแล้ว
บัดนี้จักทรงนำใครไปอีกเล่า”
พวกเธอจงโจทตอบพวกนั้นด้วยคาถานี้ว่า
“พระตถาคตทั้งหลาย ทรงมีความเพียรมาก
ทรงแนะนำด้วยพระสัทธรรม เมื่อรู้ชัด(อย่างนี้)
จะต้องริษยาพระตถาคตผู้ทรงแนะนำโดยธรรมไปทำไมเล่า”

เชิงอรรถ :
1 หมายถึงกรุงราชคฤห์ บางทีเรียกว่า เบญจคิรีนคร ที่ชื่อว่าคิริพชนคร เพราะเป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วย
ภูเขา 5 ลูก คือ ปัณฑวะ คิชฌกูฏ เวภาระ อสิคิลิ เวปุลละ (สารตฺถ. ฏีกา 3/63/281)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 4 หน้า :78 }