พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [4.นิสสัคคิยกัณฑ์] 1.จีรวรรค 10.ราชสิกขาบท นิทานวัตถุ
แม้ครั้งที่ 2 มหาอมาตย์ก็ส่งทูตให้ไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร ให้กราบ
เรียนว่า ขอให้พระคุณเจ้าจงใช้สอยจีวรเถิด กระผมต้องการจะให้พระคุณเจ้าใช้จีวรนั้น
แม้ครั้งที่ 2 ท่านพระอุปนันทศากยบุตรก็ยังไม่กล่าวอะไรกับอุบาสกนั้น
แม้ครั้งที่ 3 มหาอมาตย์ก็ส่งทูตไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร ให้กราบ
เรียนว่า ขอให้พระคุณเจ้าจงใช้สอยจีวรเถิด กระผมต้องการจะให้พระคุณเจ้าใช้สอย
จีวรนั้น
สมัยนั้นเป็นคราวประชุมของชาวนิคม ก็ชาวนิคมได้ตั้งกติกาไว้ว่า ผู้มาประชุม
ล่าช้าต้องถูกปรับ 50 กหาปณะ
ต่อมา ท่านพระอุปนันทศากยบุตรไปหาอุบาสกถึงที่อยู่ ครั้นถึงแล้วได้กล่าวว่า
อาตมาต้องการจีวร
อุบาสกกล่าวว่า โปรดรอสักวันหนึ่งเถิด ขอรับ วันนี้เป็นคราวประชุมของชาว
นิคม และชาวนิคมได้ตั้งกติกาว่า ผู้มาประชุมล่าช้าต้องถูกปรับ 50 กหาปณะ
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรกล่าวว่า จงถวายจีวรอาตมาวันนี้แหละ แล้วยึด
ชายพกไว้
อุบาสกถูกท่านพระอุปนันทศากยบุตรรบเร้าจึงได้ซื้อจีวรถวายท่านพระอุปนันท
ศากยบุตรแล้วไปประชุมล่าช้า
ชาวบ้านถามว่า เหตุไรท่านมาล่าช้า ท่านต้องเสียค่าปรับ 50 กหาปณะ
ทีนั้น อุบาสกจึงเล่าเรื่องนั้นให้ชาวบ้านเหล่านั้นทราบ พวกชาวบ้านพากัน
ตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรเหล่านี้มักมาก
ไม่สันโดษ ยากที่ใคร ๆ จะให้ความช่วยเหลือสมณะเหล่านั้นได้ ไฉนท่านพระอุปนันท
ศากยบุตร เมื่ออุบาสกกล่าวว่า โปรดรอสักวันหนึ่งเถิด ขอรับ ก็ไม่ยอมรอ
ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกชาวบ้านตำหนิ ประณาม โพนทะนา บรรดาภิกษุผู้
มักน้อย ฯลฯ พากันตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า ไฉนท่านอุปนันทศากยบุตรผู้
ซึ่งอุบาสกขอร้องอยู่ว่า ท่านผู้เจริญ โปรดรอสักวันหนึ่ง ก็ไม่ยอมรอ ครั้นภิกษุ
เหล่านั้นตำหนิท่านพระอุปนันทศากยบุตรโดยประการต่าง ๆ แล้วจึงนำเรื่องนี้ไป
กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [4.นิสสัคคิยกัณฑ์] 1.จีรวรรค 10.ราชสิกขาบท พระบัญญัติ
ทรงประชุมสงฆ์บัญญัติสิกขาบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมสงฆ์เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ ทรง
สอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า อุปนันทะ ทราบว่า อุบาสกกล่าวกับเธอ
ว่า โปรดรอสักวันหนึ่งเถิดขอรับ เธอก็ไม่ยอมรอ จริงหรือ ท่านพระอุปนันท
ศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงตำหนิว่า
ฯลฯ โมฆบุรุษ ไฉนเธอผู้ซึ่งอุบาสกกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านจงรอสักวันหนึ่งเถิด
ขอรับ ก็ไม่ยอมรอเล่า โมฆบุรุษ การกระทำอย่างนี้ มิได้ทำคนที่ยังไม่เลื่อมใสให้
เลื่อมใส หรือทำคนที่เลื่อมใสอยู่แล้วให้เลื่อมใสยิ่งขึ้นได้เลย ฯลฯ แล้วจึงรับสั่งให้
ภิกษุทั้งหลายยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้
พระบัญญัติ
[538] ก็ พระราชา ราชอมาตย์ พราหมณ์หรือคหบดีผู้ใดผู้หนึ่งส่งทูตมา
ถวายทรัพย์เป็นค่าจีวรเจาะจงภิกษุพร้อมกับสั่งว่า ท่านจงเอาทรัพย์เป็นค่าจีวร
นี้ซื้อจีวร แล้วนิมนต์ภิกษุชื่อนี้ให้ครองจีวร ถ้าทูตนั้นเข้าไปหาภิกษุนั้นกล่าว
อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ กระผมนำทรัพย์เป็นค่าจีวรนี้มาเจาะจงพระคุณเจ้า
พระคุณเจ้าจงรับทรัพย์เป็นค่าจีวรเถิด ภิกษุนั้นพึงกล่าวกับทูตนั้นอย่างนี้ว่า
พวกอาตมารับทรัพย์เป็นค่าจีวรไม่ได้ รับเฉพาะจีวรที่สมควรตามกาล ถ้าทูต
นั้นพึงกล่าวกับภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ก็มีใครผู้เป็นไวยาวัจกรของท่านบ้างไหม
ภิกษุผู้ต้องการจีวรพึงแสดงคนวัดหรืออุบาสกให้เป็นไวยาวัจกรว่า ผู้นี้เป็น
ไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย ถ้าทูตตกลงกับไวยาวัจกรแล้วเข้าไปหาภิกษุนั้น
กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าตกลงกับคนที่ท่านแนะนำว่าเป็นไวยาวัจกรแล้ว ท่าน
จงไปหาในเวลาอันสมควร เขาจะนิมนต์ท่านให้ครองจีวร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ต้องการจีวรพึงเข้าไปหาไวยาวัจกรแล้วทวงหรือเตือน 2-3 ครั้งว่า อาตมา
ต้องการจีวร เมื่อทวงหรือเตือน 2-3 ครั้ง ให้เขาจัดจีวรสำเร็จได้ นั่นเป็น
การดี ถ้าไม่สำเร็จ พึงไปยืนแสดงตนนิ่ง ๆ ถึง 4 ครั้ง 5 ครั้ง หรือ 6 ครั้ง
เป็นอย่างมาก เมื่อยืนแสดงตนนิ่ง ๆ ถึง 4 ครั้ง 5 ครั้ง หรือ 6 ครั้งเป็นอย่าง