เมนู

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [2. สังฆาทิเสสกัณฑ์] 5. สัญจริตตสิกขาบท นิทานวัตถุ

ท่านพระอุทายีกล่าวว่า “อาตมาถูกพวกสาวกอาชีวกพูดรุกรานมาครั้งหนึ่งแล้ว
เธอไปเองเถิด อาตมาจะไม่ไป”

นินทาและสรรเสริญพระอุทายี

[298] ครั้งนั้น ภรรยาโหรได้ตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ขอให้พระ
อุทายีตกระกำลำบาก อย่าได้มีความสุขสบายเหมือนบุตรสาวของเราที่ต้องตกระกำ
ลำบากไม่ได้ความสุขสบายเพราะมีแม่ผัว พ่อผัว และสามีชั่ว”
แม้สาวน้อยก็ตำหนิ ประณาม โพนทะนาพระอุทายีว่า “ขอให้พระอุทายีตก
ระกำลำบาก อย่าได้มีความสุข เหมือนเราที่ต้องตกระกำลำบาก ไม่ได้ความสุขสบาย
เพราะมีแม่ผัว พ่อผัว และสามีชั่ว”
แม้หญิงสาวอื่นๆ ที่ไม่ชอบใจแม่ผัว พ่อผัว และสามี ต่างสาปแช่งพระอุทายี
ว่า “ขอให้พระอุทายีตกระกำลำบาก ฯลฯ เหมือนเราที่ตกระกำลำบาก เพราะมี
แม่ผัว พ่อผัว และสามีชั่ว”
ฝ่ายหญิงสาวที่ชอบใจแม่ผัว พ่อผัว และสามี ต่างให้พรว่า “ขอให้พระคุณ
เจ้าอุทายีจงมีความสุขความเจริญเหมือนพวกเราที่มีความสุขความเจริญเพราะมีแม่ผัว
พ่อผัว และสามีดี”
พวกภิกษุได้ยินหญิงบางพวกสาปแช่ง บางพวกให้พร บรรดาภิกษุผู้มักน้อย
สันโดษ ฯลฯ จึงพากันตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ไฉนท่านพระอุทายีจึงชักสื่อ
เล่า” ครั้นภิกษุเหล่านั้นตำหนิท่านพระอุทายีโดยประการต่าง ๆ แล้วจึงนำเรื่องนี้ไป
กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ

ทรงประชุมสงฆ์บัญญัติสิกขาบท

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมสงฆ์เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ ทรง
สอบถามท่านพระอุทายีว่า “อุทายี ทราบว่า เธอชักสื่อจริงหรือ” ท่านทูลรับว่า “จริง
พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงตำหนิว่า “โมฆบุรุษ การกระทำอย่างนี้
ไม่สมควร ไม่คล้อยตาม ไม่เหมาะสม ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ โมฆบุรุษ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 1 หน้า :341 }


พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [2. สังฆาทิเสสกัณฑ์] 5. สัญจริตตสิกขาบท นิทานวัตถุ

ไฉนเธอจึงชักสื่อเล่า การกระทำอย่างนี้ มิได้ทำคนที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส ฯลฯ”
แล้วจึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้

พระบัญญัติ

[299] ก็ ภิกษุใดทำหน้าที่ชักสื่อ คือ บอกความประสงค์ของชายแก่
หญิงก็ดี บอกความประสงค์ของหญิงแก่ชายก็ดี เพื่อให้เป็นภรรยาหรือเป็นชู้รัก
เป็นสังฆาทิเสส
สิกขาบทนี้พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้

เรื่องพระอุทายี จบ

เรื่องนักเลงหญิง

[300] สมัยนั้น พวกนักเลงจำนวนมากพากันไปเที่ยวรื่นเริงในอุทยาน ส่ง
ชายสื่อไปสำนักหญิงแพศยาคนหนึ่งด้วยสั่งว่า “เชิญนางมาเถิด พวกเราจักไปเที่ยว
รื่นเริงในอุทยานด้วยกัน”
หญิงแพศยาตอบว่า “นายจ๋า ดิฉันไม่ทราบว่าพวกท่านเป็นใครหรือเป็นพวก
พ้องของใคร อีกประการหนึ่ง ดิฉันมีทรัพย์สมบัติมาก มีเครื่องประดับมาก ถ้าจะ
ต้องออกไปนอกเมือง ดิฉันไม่ไป”
ครั้นแล้วชายสื่อแจ้งเรื่องนั้นให้พวกนักเลงทราบ เมื่อชายสื่อพูดอย่างนั้น
ชายอีกคนหนึ่งบอกพวกนักเลงว่า “พวกท่านไปอ้อนวอนหญิงแพศยาทำไม ควร
บอกพระอุทายีมิดีกว่าหรือ ท่านจะส่งนางมาให้พวกเราเอง”
เมื่อเขาพูดอย่างนั้น อุบาสกคนหนึ่งพูดแย้งว่า “คุณอย่าพูดอย่างนั้น การทำ
อย่างนั้นไม่เหมาะแก่พระสมณะเชื้อสายศากยบุตร พระคุณเจ้าอุทายีจะไม่ทำเช่นนั้น”
เมื่ออุบาสกพูดอย่างนี้ พวกนักเลงจึงพนันกันว่า “พระคุณเจ้าอุทายีจะทำ
หรือไม่ทำ” นักเลงเหล่านั้นเข้าไปหาพระอุทายีถึงที่อยู่แล้วกราบเรียนท่านว่า “พระ
คุณเจ้า พวกกระผมเข้าไปเที่ยวรื่นเริงในอุทยาน ส่งชายสื่อไปหาหญิงแพศยาชื่อโน้น
ว่า ‘ขอให้นางมา พวกเราจะเที่ยวรื่นเริงในอุทยาน’ นางตอบว่า ‘นายจ๋า ดิฉันไม่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 1 หน้า :342 }