เมนู

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [1. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบทที่ 4 บทภาชนีย์

ภิกษุต้องการจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้ว แต่กล่าวเท็จทั้งที่รู้ว่า
ข้าพเจ้าสละราคะแล้ว ฯลฯ ข้าพเจ้าสละโทสะแล้ว ฯลฯ ข้าพเจ้าสละ คาย พ้น
ละ สลัด เพิก ถอนโมหะขึ้นแล้ว ด้วยอาการ 3 อย่าง ... เมื่อผู้อื่นเข้าใจ ต้องอาบัติ
ปาราชิก เมื่อเขาไม่เข้าใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ
ภิกษุต้องการจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้ว แต่กล่าวเท็จทั้งที่รู้ว่า จิต
ของข้าพเจ้าปลอดจากราคะ ฯลฯ จิตของข้าพเจ้าปลอดจากโทสะ ฯลฯ จิตของ
ข้าพเจ้าปลอดจากโมหะ ด้วยอาการ 3 อย่าง คือ (1) เบื้องต้น เธอรู้ว่าจักกล่าวเท็จ
(2) กำลังกล่าวอยู่ ก็รู้ว่ากำลังกล่าวเท็จ (3) ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว
(4) อำพรางความเห็น (5) อำพรางความเห็นชอบ (6) อำพรางความพอใจ
(7) อำพรางความประสงค์ เมื่อผู้อื่นเข้าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขาไม่เข้าใจ
ต้องอาบัติถุลลัจจัย

ขัณฑจักรแห่งเอกมูลกนัย วัตถุวิสารกะ จบ

พัทธจักร เอกมูลกนัย แห่งวัตถุวิสารกะ

[216] ภิกษุต้องการจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานแล้ว แต่กล่าวเท็จทั้ง
ที่รู้ว่าข้าพเจ้าเข้าตติยฌานแล้ว ด้วยอาการ 3 อย่าง ... เมื่อผู้อื่นเข้าใจ ต้องอาบัติ
ปาราชิก เมื่อเขาไม่เข้าใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ
ภิกษุต้องการจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานแล้ว แต่กล่าวเท็จทั้งที่รู้ว่า
ข้าพเจ้าเข้าจตุตถฌานแล้ว ด้วยอาการ 3 อย่าง ฯลฯ จิตของข้าพเจ้าปลอดจากโมหะ
เมื่อผู้อื่นเข้าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขาไม่เข้าใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ
ภิกษุต้องการจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานแล้ว แต่กล่าวเท็จทั้งที่รู้ว่า
ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้ว ด้วยอาการ 3 อย่าง ฯลฯ ด้วยอาการ 7 อย่าง คือ
ฯลฯ (7) อำพรางความประสงค์ เมื่อผู้อื่นเข้าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขาไม่เข้าใจ
ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

พัทธจักร เอกมูลกนัยแห่งวัตถุวิสารกะ จบ