เมนู

ตติยวรรค


อัทธานปัญหา ที่ 1


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นธรณี มีพระราชโองการถามพระนาคเสนว่า ภนฺเต
นาคเสน
ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ ธรรมสิ่งไรเล่าเป็นมูลแห่งกาลอันเป็นอดีต ธรรมสิ่งใด
เล่าเป็นมูลแห่งกาลอันเป็นปัจจุบัน ธรรมสิ่งไรเล่าเป็นมูลแห่งกาลอันเป็นอนาคต นิมนต์วิสัชนา
ให้แจ้งก่อน
พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะมหาบพิตรพระราชสมภาร ธรรมที่จะ
เป็นมูลแห่งกาลทั้ง 3 คือ อดีต อนาคต ปัจจุบันนั้น ได้แก่พระปฏิจจสมุปปาทธรรมคือบทว่า
อวิชฺชาปจฺจยา นี้ ตลอดจนจบ นี่แหละเป็นมูลแห่งกาลทั้ง 3 นั้น ปุริมโกฏิ ที่สุดเบื้องต้นแห่งกาล
ทั้ง 3 จะได้ปรากฏหามิได้ ก็ที่สุดเบื้องต้นแห่งมูลแห่งกาลทั้ง 3 ไม่ปรากฏนั้น ได้แก่เราท่าน
บังเกิดมานี้ก็อาศัยตัวอวิชชาตกแต่งด้วยกัน จะหาที่สุดเดิมนั้นว่า เป็นรูป เป็นกาย เป็นจิต
เป็นใจนี้แต่เมื่อไรมาก็ไม่ปรากฏ ถึงสมเด็จพระศรีสุคตทศพลญาณเจ้า เมื่อเปล่งพระญาณ
สอดส่องไปดูเวไนยสรรพสัตว์ทั้งปวง ว่าที่สุดเดิมเมื่อแรกจะตั้งเป็นรูปเป็นนามมานี้แต่ครั้งไรมา
จะเล็งเห็นที่สุดเดิมหามิได้ มาทรงทราบเข้าพระทัยแต่ว่า อิเม สพฺพสตฺตา บรรดาสัตว์ทั้งหลาย
เหล่านี้ คือเทพามนุษย์และสรรพสัตว์อื่น ๆ นอกกว่านั้นก็ดี บังเกิดมานี้อาศัยอวิชชาบังปัญญา
ไว้มิให้เห็นทางพระนิพพาน ที่จะหาเดิมว่าตั้งรูปตั้งนามตั้งสังขารมาช้านานเท่าใดนั้นก็สุดสำคัญ
ที่พระพุทธญาณจะกำหนดได้ เหตุดังนั้นพระองค์จึงตรัสพระธรรมเทศนาสอนไว้ว่า ที่สุดต้นเดิม
แห่งสังขารนานกว่านานเหลือที่จะพระญาณจะกำหนดได้ ขอบพิตรพระราชสมภารพึงสันนิฐาน
เข้าพระทัยด้วยประการดังนี้
ฝ่ายสมเด็จพระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์ ได้ทรงฟังพระนาคเสนถวายวิสัชนาว่า อวิชฺชา
ปจฺจยา
เป็นกาล 3 คืออดีต อนาคต ปัจจุบัน ปัจจุบันจะมีนั้นก็อาศัยแก่อวิชา เมื่อทรงทราบ
ด้วยพระปรีชาญาณดังนี้แล้วก็สาธุการแก่พระนาคเสนว่าพระผู้เป็นเจ้าพยากรณ์แก้ปัญหานี้สมควร
ในกาลบัดนี้
อัทธานปัญหา คำรบ 1 จบเท่านี้


ปุริมโกฏิปัญหา ที่ 2


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการปุจฉาอรรถปัญหาสืบต่อไป
เล่าว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแก่พระนาคเสนผู้มีปรีชาญาณเป็นอันดี พระผู้เป็นเจ้าว่ากับโยมเมื่อ
กี้นี้ว่า ปุริมโกฏิ น ปญฺญายติ ที่สุดเบื้องต้นแห่งกาลไม่ปรากฏ และที่สุดเบื้องต้นแห่งการไม่
ปรากฏนั้น คือกาลที่เป็นอดีตล่วงไป นับถอยหลังลงไปว่าตั้งนาม ตั้งรูปนั้นแต่ครั้งนั้น ได้แก่อดีต
กาลที่ล่วงไปนี้ กระนั้นหรือประการใด
พระนาคเสนถวายพระพรว่า อดีตกาลล่วงไปนี้มีที่สุดเดิมไม่ปรากฏดุจพระโองการถาม
ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นประชากรมีสุนทรราชโองการถามพระนาคเสนว่า ข้าแต่
พระผู้เป็นเจ้าที่สุดเดิมโดยเหตุอื่นนี้จะไม่ปรากฏทีเดียวเจียวหรือ หรือว่าจะปรากฏบ้างประเภทใด
พระนาคเสนถวายพระพรพยากรณ์แก้ไขว่า มหาราช ดูรานะบพิตรผู้ประเสริฐ ซึ่งพระ
ราชโองการตรัสถามนั้นบางทีก็ปรากฏ น ปญฺญายติ บางทีก็ไม่ปรากฏ ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชากรทรงซักถามว่า บางทีปรากฏนั้นอย่างไร บางทีไม่
ปรากฏนั้นอย่างไร
พระนาคเสนเสนวิสัชนาแก้ไขว่า สิ่งทั้งปวงที่ไม่มีที่สุดเดิมมาแก่ก่อนเลยนั้นแลเรียกว่า
ที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏ ประการหนึ่ง สิ่งทั้งปวงไม่มี กลับมีขึ้นแล้วปราศจากไป อย่างนี้เรียกว่า
ที่สุดเบื้องต้นปรากฏ
พระเจ้ากรุงมิลินท์จึงมีพระโองการตรัสว่า นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอุปมาซึ่งบทที่ว่า ที่สุด
เดิมไม่ปรากฏจะเหมือนด้วยสิ่งอันใด
พระนาคเสนก็สำแดงบทอุปมาว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร เปรียบปาน
ดุจต้นไม้ประกอบไปด้วยใบดอกออกผล ครั้นหล่นลงเหนือปฐพี ก็งอกขึ้นเป็นต้นลำผลิ
ดอกออกผลต่อ ๆ กันมานั้น ที่สุดเดิมอยู่ที่ไหนนะ บพิตรพระราชสมภาร
พระเจ้ากรุงมิลินท์จึงมีพระราชโองการตรัสว่า จะหาที่สุดเดิมนั้นหาไม่ได้
พระนาคเสนถวายพระพรว่า ฉันใดก็ดี ฝูงสัตว์ที่เกิดมานี้หาที่สุดเดิมมิได้ดุจต้นไม้นั้น
ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า โยมยังสงสัยอยู่ จง
อุปมาอุปไมยให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ก่อน