เมนู

ปฐมวรรค


นามปัญหา ที่ 1


อถ โข มิลินฺโท ราชา

ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้ามิลินท์จึงทรงปุจฉาซึ่งปัญหายิ่งขึ้น
ไปว่า ธรรมดาว่าบุคคลอันสนทนากัน ถ้าไม่รู้จักนามและโคตรแห่งกันและกัน ถ้อยคำอันบัง
เกิดขึ้นแต่ชนทั้งสองนั้นมิได้ถาวรตั้งมั่น เหตุดังนี้เราทั้งสองจะต้องรู้จักกันเสียก่อน กินฺนาโมสิ
พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร
พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า นาคเสโนติ สมุทาจรนฺติ เพื่อนพรหมจรรย์ท่านร้อง
เรียกชื่อของอาตมภาพว่านาคเสน ประการหนึ่งโสด มารดาบิดาท่านให้ชื่อแก่อาตมภาพหลาย
ชื่อ คือชื่อว่านาคเสน 1 ชื่อว่าวีรเสน 1 ชื่อว่าสุรเสน 1 ชื่อว่าสีหเสน 1 ข้อซึ่งมีนามชื่อว่า
นาคะนั้นด้วยอรรถว่า อาคุํ ปาปกมฺมํ น กโรตีติ นาโค แปลว่า บุคคลผู้ใดมิได้กระทำซึ่งกรรม
อันลามก บุคคลผู้นั้นชื่อว่านาคะ ซึ่งมีนามชื่อว่าเสนะนั้น ด้วยอรรถว่าเป็นที่พำนักหมอบกราบลง
แห่งบุคคลอันยอมตนเป็นศิษย์มาศึกษาเล่าเรียน ชื่อว่าวีระนั้นด้วยอรรถว่ามีความเพียรมิได้
ย่อหย่อน ชื่อว่าสุระนั้นด้วยอรรถว่าองอาจรปราศจากภัยมิได้ครั่นคร้ามในท่ามกลางบริษัท ชื่อ
ว่าสีหะนั้นด้วยอรรถว่าเป็นที่ยำเกรงแก่นักปราชญ์ทั้งหลายอื่น ดุจดังว่าพระยาไกรสรราชสีห์
อันเป็นที่เกรงกลัวแก่หมู่มฤคชาติทั้งปวง และเสนศัพท์นั้น มีอรรถเหมือนดังวิสัชนาแล้วในนาม
เบื้องต้น คือนาคเสนนั้น สา สงฺขาตสมญฺญา อันว่ากล่าวซึ่งชื่อทั้งปวงดังนี้ เป็นสมมุติโวหาร
อันโลกทั้งปวงหากตั้งไว้ จะมีสัตว์มีบุคคลเป็นที่ตั้งแห่งมานทิฐิถือมั่นว่า อหํ มมํ ในชื่อ
ทั้งปวงนั้นโดยปรมัตถ์หามิได้
อถ โข มิลินฺโท ราชา ในกาลนั้น สมเด็จพระเจ้ามิลินท์จึงร้องประกาศแก่ชาวโยนก
ห้าร้อยและพระภิกษุสงฆ์แปดหมื่นว่า สุณนฺตุ เม โภนฺโต ชาวโยนกห้าร้อยและพระภิกษุสงฆ์
แปดหมื่นจงฟังถ้อยคำแห่งพระนาคเสนบอกแก่ข้าพเจ้าว่า เพื่อนพรหมจรรย์ท่านเรียกอาตมภาพ
ว่านาคเสน จะมีสัตว์มีบุคคลในชื่อนั้นโดยปรมัตถ์หามิได้ สเจ ภนฺเต สตฺโต นตฺถิ ข้าแต่พระ
นาคเสนผู้จำเริญ ถ้าสัตว์และบุคคลไม่มีเหมือนดังคำของพระผู้เป็นเจ้าว่าแล้ว ไฉนเลยทายกที่ได้
ถวายจตุปัจจัยแก่พระนาคเสนจะได้กุศลผลบุญเล่า ผู้ใดผู้หนึ่งคิดว่าจะฆ่าพระนาคเสนผู้เป็นเจ้า
เสีย ถ้าเขาจะฆ่าเสียจะได้บาปกรรมอะไร โยมเห็นว่าจะเปล่าไปเหมือนชื่ออันบัญญัติเปล่า อนึ่ง
คฤหัสถ์และบรรพชิตเรียกชื่อกัน ย่อมสรรเสริญนินทากันว่าผู้นั้นดีผู้นั้นชั่วเล่า ก็เห็นว่าเปล่า ๆ
ทั้งนั้น เหตุเป็นนามบัญญัติเปล่า ประการหนึ่งเล่า เหมือนทายกทั้งหลายเขาถวายจตุปัจจัย
แก่พระผู้เป็นเจ้า ก็ใครเล่ารับจีวรที่ทายกให้ ใครเล่ารับบิณฑบาตที่ทายกให้ ใครเล่ารับสื่อสาร

อาสนะที่ทายกให้ ใครเล่ารู้ไปในพระไตรปิฎก ใครเล่าเป็นสังฆปริณายก ใครได้มรรคได้ผล
ถ้าจะว่าโดยฝ่ายอกุศลนั้นเล่า ชื่อนี้สิเปล่านับเข้าที่ตัวบุคคลนั้นนับไม่ได้ จะรู้ว่าใครกระทำ
ปาณาติบาต ใครกระทำอทินนาทาน จะรู้ว่าใครกระทำกาเมสุมิจฉาจาร จะรู้ว่าใครเจรจามุสา
จะรู้ว่าใครต่อใคร ฟังได้อยู่แล้วหรือกระไร ยํ วทสิ พระผู้เป็นเจ้าได้ว่ากะโยมสิน่ะว่า สมณะและ
สามเณรเรียกอาตมาแต่วันอุปสมบทมาชื่อว่านาคเสนนั้น โยมเรียกพระผู้เป็นเจ้าว่าพระนาคเสน
น สุยฺยสิ พระผู้เป็นเจ้าไปยินหรือไม่
ถวายพระพร ได้ยิน
ถ้าพระผู้เป็นเจ้าได้ยินแล้วชื่อนาคเสนนี้แหละก็จัดเข้าในบุคคลคือตัวพระผู้เป็นเจ้า
พระผู้เป็นเจ้านี้ชื่อนาคเสนหรือ
ขอถวายพระพร หามิได้
เกสา ผมพระผู้เป็นเจ้าหรือ ชื่อนาคเสน
ขอถวายพระพร หามิได้
โลมา ขนหรือ ชื่อนาคเสน
ขอถวายพระพร มามิได้
นขา เล็บ 20 นั้นหรือ ชื่อนาคเสน
ขอถวายพระพร หามิได้
ทนฺตา ฟันนั้นหรือ ชื่อนาคเสน
ขอถวายพระพร หามิได้
ตโจ หนังกำพร้าหุ้มกายนี้หรือ ชื่อนาคเสน
ขอถวายพระพร หามิได้
มํสํ เนื้อทั้งหลายในกายนั้นหรือชื่อนาคเสน
ขอถวายพระพร หามิได้
สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นสาคลนครมีสุนทรพจนารถพระราชโองการตรัสถามไป
โดยนัยเนื่องกันว่า นฺหารู คือเอ็นใหญ่ 700 อฏฺฐิมิญฺชํ เยื่ออันมีในกระดูก

วกฺกํ วา คือม้ามก็ดี หทยํ วา คือหัวใจก็ดี ยกนํ วา คือตับก็ดี กิโลมกํ วา คือพังผืดก็ดี
ปิหกํ วา คือไตก็ดี ปปฺผาสํ วา คือปอดก็ดี อนฺตํ ว ไส้น้อยก็ดี อนฺตคุณํ วา ไส้ใหญ่ก็ดี
อุทริยํ วา อาหารใหม่ก็ดี กรีสํ วา อาหารเก่าก็ดี ปิตฺตํ วา คือดีก็ดี เสมฺหํ วา คือ
เสมหะก็ดี ปุพฺโพ วา คือหนองก็ดี โลหิตํ วา คือโลหิตก็ดี เสทํ วา คือเหงื่อก็ดี เมทํ วา คือ
มันก็ดี อสฺสุ วา คือน้ำตาก็ดี วสํ สา คือมันเหลวก็ดี เขฬํ วา คือเขฬะก็ดี สิงฺฆานิกํ วา คือ
น้ำมูกก็ดี ลสิกา วา คือไขข้อก็ดี มุตฺตํ วา คือน้ำมูตรก็ดี มตฺถเก วา คือสมองศีรษะก็ดี มตฺถลุงฺคํ วา
มันในศีรษะก็ดี เหล่านี้หรือชื่อว่า นาคเสน
น หิ มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร พระองค์ผู้ทรงธรรมิกราชาธิราช
ผู้ประเสริฐ ส่วนทั้งปวงนี้จะได้ชื่อว่านาคเสนหามิได้ ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นสาคลนคร จึงมีพระสุนทรพจนารถประภาษซักต่อไปในเบญจ-
ขันธ์ทั้งห้าว่า รูปํ วา รูปขันธ์ของพระผู้เป็นเจ้านั้นก็ดี เวทนาขันธ์ก็ดี สัญญาขันธ์ก็ดี สังขาร-
ขันธ์ก็ดี วิญญาณขันธ์ก็ดี ดังนี้หรือชื่อนาคเสน
น หิ มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ สิ่งเหล่านี้จะได้ชื่อว่านาคเสน
หามิได้ ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์นรินทราธิบดี จึงมีพระราชโองการตรัสถามด้วยธาตุจัดเป็นคู่กันว่า
จักขุธาตุและรูปธาตุนี้ประการ 1 โสตธาตุและสัททธาตุประการ 1 ฆานธาตุและคันธธาตุนี้
ประการ 1 ชิวหาธาตุและรสธาตุประการ 1 กายธาตุและโผฏฐัพพธาตุประการ 1 มโนธาตุ
ประการ 1 จักขุธาตุที่ทรงจักษุให้เห็นรูป อันทรงตัวเป็นรูปหญิงรูปชายนี้ก็ดี โสตธาตุทรงโสต
ทั้งสองให้ได้ยินเสียงชื่อสัททธาตุ สัททธาตุนี้จะเป็นเสียงนั้น คือสารพัดสัททะสำเนียงทั้งปวง
ก็อาศัยธาตุทรงให้เป็นเสียง เสียงทั้งปวงมากระทบโสตธาตุคือหูทั้งสอง ก็โสตธาตุนี้ทรงหูทั้ง
สองไว้มิให้หนวกหนักจึงได้ยิน ฆานธาตุจมูกให้ดมกลิ่นมิให้เป็นหวัดและริดสีดวงเป็นต้น และ
กลิ่นนั้นคือธาตุทรงไว้ซึ่งคันธธาตุ ก็ทรงคัวเอง ที่เหม็นก็ให้ทรงกลิ่นเหม็น ที่หอมก็ให้ทรง
กลิ่นหอม แม้ว่ากลิ่นกลายหายไปก็อาศัยธาตุไม่มี ชิวหาธาตุทรงลิ้นให้รู้รสว่าเค็มคาวหวาน
เป็นต้น รสธาตุคือเค็มคาวหวานนั้นก็อาศัยธาตุทรงไว้ ถ้าธาตุวิปริตแล้วก็กลับกลายไป และ
กายธาตุนั้นก็ทรงกายให้รู้เจ็บปวดกระวนกระวาย และให้รู้เพลิดเพลินสบาย ถ้ากระทบโผฏ-
ฐัพพธาตุ คือสิ่งกระด้าง และอ่อน สิ่งที่กระด้างเป็นต้นว่า ศัสตราวุธและก้อนหินศิลามีธาตุทรง
ไว้ให้กระด้าง และอ่อน สิ่งที่กระด้างเป็นต้นว่า ศัสตราวุธและก้อนหินศิลามีธาตุทรง
ที่ลอออ่อน เป็นต้นว่าฟูกหมอน และลอออ่อนเป็นเนื้อทิพย์ มาต้องกายมนุษย์ทั้งหลายเข้า

เมื่อใดก็เพลินในอาศัยเพราะกายธาตุนี้ ถ้าหากายธาตุมิได้คือไม่มีที่ตั้งที่ทรงแล้ว กายก็มิได้
ประชุมกันเป็นเนื้อเป็นตัว และมโนธาตุนั้นทรงไว้ให้เป็นใจเป็นจิต อยู่ทั้งนี้ อธิบายด้วยธาตุ
เป็นคู่กันและมโนธาตุอันเดียวตามวาระพระบาลีสมมุติเป็นใจความเท่านี้
เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสถามด้วยธาตุทั้งปวง
ว่าธาตุทั้งหลายนี้หรือชื่อนาคเสน
ฝ่ายพระนาคเสนผู้วิเศษ ก็ถวายพระพรปฏิเสธ มิได้ถวายพระพรรับกพระราชโองการ
พระเจ้ากรุงมิลินท์นรินทรมหาศาลจึงกลับเอาขันธ์ 5 ประการ มีรูปขันธ์เป็นต้น มี
วิญญาณขันธ์เป็นปริโยสานมาถามอีกเล่า
ฝ่ายพระนาคเสนผู้เป็นเจ้าก็มิรับ กลับถวายพระพรปฏิเสธ
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีจึงมีวจีพจนารถประภาษถามว่า ภนฺเต ข้าแต่
พระผู้เป็นเจ้า ธรรมที่นอกกว่ารูป นอกกว่าเวทนา นอกว่าสัญญา นอกกว่าสังขาร นอกกว่า
วิญญาณ นี้หรือเป็นนามชื่อว่านาคเสน
พระนาคเสนผู้วิเศษก็ถวายพระพรว่า หามิได้
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีได้ทรงฟังจึงตรัสว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
สารพัดสารพันที่โยมจะเอามาถามซอกซอนถามพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าปฏิเสธว่ามิใช่
นามของพระผู้เป็นเจ้า โยมเก็บเอามาถามด้วยขันธ์และธาตุและอาการ 32 มีในกายตัวของพระ
ผู้เป็นเจ้าสารพัด น ปสฺสามิ น ทกฺขามิ โยมไม่พิจารณาเห็นธรรมสิ่งใด ที่จะนับเข้าในชื่อ
ของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าเจรจาเปล่า ๆ อลิกํ พระผู้เป็นเจ้าเจรจาลอมแลมเหลาะแหละ
ไม่ควรฟัง มุสาวาทํ พระผู้เป็นเจ้าเจรจามุสาสับปลับ เดิมบอกว่าชื่อนาคเสนแล้วกลับไม่รับ ดูรึ
พระผู้เป็นเจ้านี้สับปลับเจรจามุสา ดูราโยนกข้าหลวงทั้งปวง 500 และพระภิกษุแปดสิบพันที่
ข้าอ้างเป็นอุตรีพยานนี้ ฟังเอาด้วยกัน ณ กาลบัดนี้
เอวํ วุตฺเต เมื่อสมเด็จพระเจ้ามิลินท์นรินทราธิบดีตรัสบริภาษด้วยทารุณราชพจ-
นารถอันหยาบ เป็นอริยุปวาทคำฉกรรจ์แก่พระนาคเสนองค์อรหันต์ฉะนี้ อายสฺมา นาคเสโน
ฝ่ายพระนาคเสนผู้มีอายุ อรหา เป็นองค์พระอรหันต์อันมีกำกงแห่งสังสารจักร อันจะชักให้สัตว์
เกิดตายเวียนว่ายในวัฏสงสารประหาราด ฉลาดด้วยพระปฏิสัมภิทา มีพระปัญญา ปรุโปร่งไป
ในปฏิสัมภิทาทั้ง 4 คือธรรมปฏิสัมภิทาแตกฉานไปในพระสูตรพระวินัยพระปรมัตถ์ มิหนำ
อีกปฏิเวธธรรมทางมรรคทางผล อรรถปฏิสัมภิทาฉลาดในอรรถกถาบาลีอรรถแปลแก้ไข
นิรุตติปฏิสัมภิทาฉลาดในอักขระอักษรพยัญชนะ นิมิต มิคหิต พินทุ สิ้นทุกประการมิได้กังขา


ปฏิภาณปฏิสัมภิทาแตกฉานในอ่านสวดให้ถูกตามครุลหุธนิตสิถิลลำนำฉันทานุรักษ์และเทศนา
สำแดงธรรมอันน้อยใหญ่แกล้วกล้าไปทุกประการ ได้พระปฏิสัมภิทาญาณทั้ง 4 ยิ่งยอดบุคคล
ถึงฉะนี้ เมื่อสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี ทรงบริภาษพ้อวันนั้นมีน้ำพระทัยมิได้ไหวหวั่น
ฉันใด อุปไมยเหมือนจอมเสลราชพระยาเมรุมาศศิขรินทร อันมิได้รู้โอนอ่อนสะเทือนสะท้าน
ด้วยลมกาลเวรัมภวาตหากพัด จะได้โกรธกรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์อันตรัสผรุสโวหารหามิได้
เมตฺตาภาวนิโย พระผู้เป็นเจ้าเบิกบานด้วยจำเริญฌานเมตตา เอ็นดูนักหนา จะอุปมาฉันใด
อุปไมยประดุจมารดาอันเห็นบุตรของอาตมา อันเป็นทารกกำหนัดนม กำดัดที่จะรัก กำดัดที่จะ
ชมเชย อันเที่ยวเล่นไกลแล้วอยากนมและร้องไห้พิไรร่ำมา มารดาเห็นลุกรักก็วิ่งออกไป กระพัด
กระพองร้องเรียกบุตรของอาตมาไว ๆ ว่า ลูกเอ๋ยเจ้างามประเสริฐมาเถิดพ่อมาแม่มา ตกว่า
พระนาคเสนผูกเมตตาต่อสมเด็จบรมกษัตริย์กรุงมิลินทราธิบดีนี้ก็เหมือนกัน พระเจ้ากรุง
มิลินท์นั้นยังเป็นปุถุชน พระผู้เป็นเจ้าไม่มีความโกรธจะโปรดให้ได้มรรคผล เสวยชลอมฤตธารา
น้ำนม ให้บรมพิตรอันประพฤติทุจริตมืดมิดอยู่เป็นกำลัง เร่งให้เสวยเสียยังแล้ว จะโปรดให้ได้
นิพพานเมืองแก้วเสียในปัจจุบันชาตินั้นด้วยแก้ปัญหา มิลินฺทสฺส รญฺโญ เจตสา พระผู้เป็นเจ้ารู้
จิตวาระนี้พระราชหฤทัยอัชฌาสัยของกรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีนั้น ทำเป็นประหนึ่งจะวิสัชนา
มิได้ ดุษณีภาพนิ่งอยู่ประมาณครู่หนึ่งในกาลนั้น
มุหุตฺตํ ตุณฺหี หุตฺวา พระนาคเสนผู้ปรีชา นิสีทนานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงถวายพระพรว่า
มหาราช ดูกรบรมพิตรและราชสมภารผู้ประเสริฐในราชสมบัติ บพิตรนี้เป็นกษัตริย์อันสุขุม-
มาลัยมิ่งมไหศวรรย์ อจฺจนฺตสุขุมาโล สุขุมโดยแท้แต่เสด็จจากพระราชนิเวศน์มาสู่ประเทศ
อสงไขยบริเวณเท่านี้ดูนี่หมองศรีนักหนา อนึ่งเสด็จมาก็ต้องแสงสุริยะกล้าเป็นเวลามัชฌันติก-
สมัย น้ำพระทัยจึงกลัดกลุ้มรุ่มร้อน ทรงบทจรเสด็จพระราชาดำเนินมายังสำนักอาตมานี้เล่า ก็
เสด็จด้วยพระบาทเปล่า ชะรอยระแหงหินกรวดอันใด ปาเท รุชฺฌนฺติ ยอกเข้าที่ฝ่าพระบาท
ปวดประชวรแสบสามารถหรือกระไรนั้น จณฺฑิฑโย จึงร้ายกาจ พระโองการประภาษเล่าก็
หยาบหยาม นี่แน่ะอาตมาจะถามบพิตรพระราชสมภารเจ้า บพิตรพระราชสมภารเจ้าเสด็จมานี้
ด้วยพระบาทเปล่าหรือ อุทาหุ หรือบพิตรพระราชสมภารเจ้าเสด็จจากราชฐานด้วยพาชี
สินธพชาติอาชาญยานุมาศ อันใด จงตรัสพนารถประภาษแก่อาตมาในกาลบัดนี้
อถ โข มิลินฺโท ราชา แท้จริงอันดับนั้นสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราช-
โองการเผดียงว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้านาคเสน เมื่อโยมจะมาสู่อสงไขยบริเวณ
สำนักพระผู้เป็นเจ้านี้ โยมไม่มาด้วยพระบาทเปล่า มาด้วยรถ ครั้นมาสู่สำนักพระผู้เป็นเจ้า
โยมเข้ามาด้วยพระบาทเปล่า

พระนาคเสนได้ฟังพระโองการประภาษ จึงประกาศว่า ดูกรราชเสวกโยนกทั้ง 500 ฟัง
เอาเถิด ถ้อยคำสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทร์ผู้ประเสริฐ ตรัสว่ามาด้วยรถ มาสู่สำนักอาตมานี้
มาด้วยพระบาทเปล่า ชาวเจ้าทั้งปวงกับพระภิกษุแปดสิบพันจงฟังเป็นพยานในกาลบัดนี้ พระ
นาคเสนจึงมีเถรปุจฉาถามว่า มหาราช ดูกรบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐในราชสมบัติ ซึ่งมี
พระราชโองการตรัสว่าเสด็จด้วยรถนั้นตรัสมั่นคงละหรือ
เออข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมว่า ว่ามาด้วยรถจริง
พระนาคเสนมีเถรปุจฉาถามว่า บพิตรพระราชสมภารบอกว่ามาด้วยรถนั้น อีโส
งอนนั้นหรือชื่อว่ารถ
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์นรินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่างอนนั้นจะได้ชื่อว่ารถหามิได้
พระนาคเสนมีเถรปุจฉาซักถามต่อไปว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้
ประเสริฐ เพลานั้นหรือชื่อว่ารถ
พระเจ้ามิลินทร์ภูมินทราธิเบศร์ ปฏิเสธว่าหามิได้
พระนาคเสนมีเถรปุจฉาซักถามต่อไปว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร
ผู้ประเสริฐ จกฺกํ วา จักรนั้นหรือชื่อว่ารถ ขอถวายพระพร
พระเจ้ามิลินท์ปิ่นสาคลนคร ปฏิเสธว่าหามิได้
พระนาคเสนมีเถรปุจฉาซักถามต่อไปว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร
ผู้ประเสริฐ รถทณฺฑกํ วา คันชักนั้นหรือชื่อว่า ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชากรปฏิเสธว่าหามิได้
พระนาคเสนมีเถรปุจฉาซักถามต่อไปว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร
ผู้ประเสริฐ รถปญฺชรํ วา เรือนรถนั้นหรือชื่อว่ารถ ขอถวายพระพร
พระจ้ามิลินท์ก็ปฏิเสธว่าหามิได้
พระนาคเสนมีเรถปุจฉาซักถามต่อไปว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร
ผู้ประเสริฐ รสฺมิโย เชือกรถนี้หรือชื่อว่ารถ ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชากร ปฏิเสธว่าหามิได้

พระนาคเสนมีเถรวาจาซักถามต่อไปว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้
ประเสริฐ ปโตทยฏฺฐิ ประฏักสำหรับถือนั้นหรือชื่อว่ารถ ของถวายพระพร
พระเจ้ามิลินท์ปฏิเสธว่าหามิได้
พระนาคเสนมีเถรปุจฉาซักถามสืบต่อไปว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้
ประเสริฐ ยุคํ วา แอกนั้นหรือชื่อว่ารถ ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปฏิเสธว่าหามิได้
พระนาคเสนมีเถรวาจาถมไปจนสิ้นสุดฉะนี้ จึงมีเถรบริภาษตัดพ้องว่า มหาราช ดูรานะ
สมเด็จบรมบพิตรผู้ประเสริฐในราชสมบัติ เมื่ออาตมาเอาเครื่องรถนั้นมาถามถ้วนถี่บพิตรก็
ตรัสว่ามิใช่รถ ตรัสปฏิเสธยั่งยืน น ปสฺสามิ อาตมาไม่เห็นสิ่งใดที่จะเรียกว่ารถสิ้นทั้งหมดเดิมที
สิตรัสบอกว่า เสด็จออกมาด้วยรถ ครั้นอาตมาถามหานามรถว่า สิ่งนี้หรือชื่อว่ารถ ก็ปฏิเสธว่า
มิใช่รถ กระนั้นก็ปดรูปเล่น เออเป็นถึงอัครราชเรืองเดชในประเทศทวีปชมพูไม่มีความอดสู ดูรึ
มาตรัสสุสามวาทช่างประภาษได้ ฟังเอาเป็นไรราชเสวกโยนกข้าหลวงทั้ง 500 อันหมอบราย
เรียงเคียงกัน และพระภิกษุสงฆ์แปดสิบพันที่เราบอกไว้เป็นพยานนั้น จงฟังเอาด้วยกันในกาลบัดนี้
ขณะนั้นหมู่ราชเสวกโยนกข้าหลวง 500 ก็มี่ก้องร้องซ้องสาธุการพระนาคเสนนี้ต่าง ๆ
บางพวกที่ตัวโปรดก็บังคมเหนือศิโรตม์ แล้วทูลเตือนสมเด็จบรมกษัตริย์ให้ตรัสแก้ไข
ส่วนสมเด็จพระเจ้าพระเจ้ามิลินท์ปิ่นสาคลราชธานี จึงมีพระราชโองการแก้ปัญหาว่า ภนฺตา
นาคเสน
ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า โยมจะได้เจรจามุสาวาทหามิได้ นามบัญญัติชื่อว่ารถนั้น
อาศัยสัมภาระเครื่องรถ พร้อมกันหมดคืองอนและจักรเพลา และคันชักรถและเรือนรถและ
เชือกรถ และประฏักกับแอกทั้งหมด จึงได้บัญญัตินามชื่อว่ารถ นะพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็น
เจ้าจงทราบด้วยประการฉะนี้
พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาถวายพระพรว่า ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐใน
บวรมไหศวรรย์ อาตมาก็เหมือนกัน ที่ถวายพระพรไว้ว่า ชื่อนาคเสนนั้นจะได้มุสาหามิได้ อาศัย
อาการ 32 ของอาตมาเป็นอาทิ คือ เกศาโลมาตลอดถึงมัตถลุงคังทั้งหมด จึงได้นามบัญญัติ
ปรากฏชื่อว่านาคเสน เหมือนชื่อว่ารถ อาศัยสัมภาระทั้งหมดจึงเรียกว่ารถยาน ก็สมด้วยคำท่าน
ปฏาจาราภิกษุณี กล่าวในที่เฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระทศพลพิชิตมารโมลี ยุติด้วยวาระ
แห่งพระบาลีว่า

ยถาปิ องฺคสมฺภาโร โหติ สพฺโพ รโถ อิติ
เอวํ ขนฺเธสุ สนฺเตสุ โลโก สตฺโตติ สมฺมตีติ

กระแสความว่า สพฺโพ รโถ อิติ อันว่าสัมภาระเครื่องรถพร้อมทั้งหมด ได้นามบัญญัติ
เรียกว่า ยถา มีครุวนาฉันใด สตฺโตติ สมฺมติ ได้ชื่อว่าสัตว์ว่าบุคคลนี้ก็อาศัยมีขันธ์พร้อม
5 ประการ เอวํ เมาะ ตถา เปรียบปานดังรถนั้น ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดี ทรงพระสวนาการแก้ปัญหาฉะนี้ มีน้ำพระทัย
ท้าวเธอปรีดาปราโมทย์ออกพระโอษฐ์ตรัสซ้องสาธุการว่า สธุสะพระผู้เป็นเจ้าช่างแก้ปัญหา
อจฺฉริยํ โยมอัศจรรย์นักหนา โยมสำคัฐว่าอยู่โยมแล้วทีเดียว พระผู้เป็นเจ้านี้เฉลียดฉลาด
สามารถนักหนา กลับกล่าวปัญหาเปรียบเทียบอุปมาวิจิตรให้คนทั้งหลายคิดเห็นกระจ่างแจ้งแจ่มใส
ยทิ พุทฺโธ ติฏฺเฐยฺย ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระชิเนนทรทศพล ยังสถิตมีพระชนม์อยู่นี้จะโปรดปราน
ตรัสสาธุการประทานที่ฐานันดร ให้เป็นเอกบุคคลข้างแก้ปัญหา ในกาลบัดนี้
นามปัญหา คำรบ 1 จบเท่านี้

วัสสปัญหา ที่ 1


สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสถามวัสสปัญหาสืบต่อไปว่า
ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า กติวสฺโส พระผู้เป็นเจ้ามีวรรษาเท่าไร
พระนาคเสนถวายพระพรว่า อาตมามีวรรษาได้ 7 วรรษา
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสซักว่า ภนฺเต นาคเสน ข้า
แต่พระผู้เป็นเจ้านาคเสน วรรษานับได้ 7 ปีนั้น นับพระผู้เป็นเจ้าเข้าด้วยหรือ หรือว่านับแต่ปีนั้น
7 มิได้อาศัยผู้เป็นเจ้า ในกาลบัดนี้
กิร ดังจะรู้มาว่า พระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีวันนั้นทรงเครื่องปิลันธนาภรณ์พวกดอกไม้
มีพระฉายปรากฏลงไปที่อุทกมณิกากะละออมแก้ว พระนาคเสนเห็นประจักษ์แล้วจึงถวายพระพร
ว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐในสิริมไหศวรรย์ พระฉายที่ปรากฏใน
กะละออมแก้วนั้น นับเนื่องอาศัยในพระองค์ของมหาบพิตรด้วยหรือประการใด