เมนู

ฉัฏฐวรรค


กายอัปปิยปัญหา ที่ 1


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโอการตรัสถามพระนาคเสนสืบไป
ในฉัฏฐวรรคนี้ว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้จำเริญด้วยปรีชา ธรรมดาว่าร่างกายนี้
เป็นที่รักแห่งบรรพชิตทั้งหลายหรือประการใด
พระนาคเสนถวายพระพรตอบไปว่า ธรรมดาว่าร่างกายจะได้เป็นที่รักแห่งบรรพชิตหามิได้
ขอถวายพระพร
พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นประชากรตรัสว่า บรรพชิตไม่รักร่างกาย ก็ทำไมจึงอาบชำระ
กายอยู่เล่า
พระนาคเสนผู้เป็นเจ้าจึงแก้ไขเปรียบเทียบว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระ
ราชสมภาร เปรียบปานดุจโยธาอันเข้าสู่การณรงค์สางคราม ต้องขวากหนามศัสตราวุธปืนยา
ยังไม่ตาย ก็หากันมารักษาบ้างหรือไม่ น่ะบพิตรพระราชสมภาร
พระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า เออ มีอยู่
พระนาคเสนจึงถามว่า ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร คนที่พิการเจ็บปวดนั้นย่อม
ทาด้วยน้ำมันยา แล้วเอาท่านผ้าเนื้อดีพ้นเข้าไว้ แล้วขำระชะโกรกไปซึ่งบาดแผลด้วยน้ำ กระทำ
ดังนี้หรือ พระราชสมภาร
พรเจ้ากรุงมิลินนท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า อาม ภนฺเต เออ กระนั้น
แหละซิ พระผู้เป็นเจ้า คนเจ็บนั้นเขาก็รักษาแผลนั้น จึงใส่น้ำมันยาเอาท่านผ้าเนื้อดีนั้นพันเข้า
แล้วแก้เอาผ้าออกไว้ล้างชะให้ดีด้วยน้ำมัน กระทำกระนี้
พระนาคเสนองค์อรหาธิบดีมีเถรวาจาว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร คน
พิการนั้นล้างชะชำระทาน้ำมันยาที่แผลนั้น รักแผลหรือประการใด น่ะบพิตรพระราชสมภาร
พระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีจึงมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่
พระผู้เป็นเจ้า คนเจ็บเขาพันแผลด้วยผ้าทาด้วยน้ำมันแล้วโกรกด้วยน้ำนั้น ใช่จะรักแผลที่กายหา
มิได้ กระทำทั้งนี้ เพื่อจะให้งอกเนื้อใหม่หายไปเป็นปรกติเหมือนแต่ก่อน
พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภารเจ้า
ความนั้นฉันใดเล่า บรรพชิตก็เหมือนกัน อุตส่าห์ปรนนิบัติกาย พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย เพื่อจะให้

สบายในที่จะรักษาศีลพรหมจรรย์ เหมือนกันกับบุคคลรักษาแผลนี้ ก็ต้องด้วยกระแสพระ
พุทธฎีกาสมเด็จพระทศพลญาณตรัสประทานไว้ว่า พึงให้บรรพชิตรักษากายของอาตมาดุจหนึ่ง
ว่าบุคคลทั้งหลายอันรักษาแผล แต่ว่าอย่างพึงให้เสน่หารักใคร่ในกาย น่ะพระราชสมภาร
อนึ่ง สมเด็จพระทศพลญาณตรัสประทานไว้อีกเล่า ยุติด้วยพระคาถาว่า
อลฺลจมฺมปฏิจฺฉนฺโน นวทฺวาโร มหาวโณ
สมนฺตโต ปตฺฆรติ อสุจิปูติคนฺฑิโกติ

กระแสพระพุทธฎีกาโปรดว่า ภิกฺขเว ดูรานะภิกษุทั้งหลาย กายของเราท่านทั้งหลาย
นี้ไม่เป็นแก่นสาร ประกอบไปด้วยทวารทั้ง 9 มีปากทวารเหมือนปากแผลอันใหญ่ ประกอบด้วย
อสุจิไหลออกามาทุกทวารสิ้น ปูติคนฺธิโก มีแต่ล้วนกลิ่นอันน่าพึงเกลียดพึงชัง นี่หากว่าหนังหุ้ม
กำบังไว้ หาไม่นี้จะเวทนาดูน่าสมเพช เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายเร่งคิดเป็นอนิจจังเหนื่อยหน่ายอย่า
ได้รักซึ่งร่างกาย จงมีจิตขวนขวายที่จะได้ซึ่งธรรมอันเป็นนิโรธ ตกว่าพระพุทธฎีกา ตรัสโปรดไว้
ฉะนี้ น่ะบพิตรพระราชสมภาร
สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์นริทรภูมิบาลได้ทรงสาวนาการก็ชื่นบานหรรษาตรัสว่า
กลฺโลสิ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถ้อยคำสมควรนักหนาในกาลบัดนี้
กายอัปปิยปัญหา เป็นประถมจบเท่านี้

สัมปิตตกาลปัญหา ที่ 2


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน
ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า พุทฺโธ อันว่าสมเด็จพระพุทธเจ้านี้ สพฺพญฺญู เป็นสัพพัญญู
สพฺพทสฺสาวี มีปรกติสารพัดจะเห็นสิ้นหรือประการใด
พระนาคเสนเถระเมื่อจะแก้ไขจึงถวายพระพรว่า อาม มหาราช ขอถวายพระพร จริงอยู่
สมเด็จพระสัพพัญญูนี้สารพัดรู้ซึ่งวิสัยโลกุตรและโลกีย์ สพฺพทสฺสาวี สารพัดที่เห็นไปสิ้น
สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระบรมราชโองการถามว่า ภนฺเต นาคเสน
ข้าแต่พระนาคผู้ปรีชาญาณ สมเด็จพระโลกุตตมาจารย์จอมโลกเป็นองค์สัพพัญญู สารพัดที่
จะรู้เห็นตลอดโลก ทั้งอดีตอนาคตปัจจุบันสารพัดจะรู้ไปสิ้นแล้ว ก็ไฉนจงไม่ทรงบัญญัติ