เมนู

พึงกระทำปัจจัยหนึ่ง ๆ ให้เป็นมูล แล้วนับจำนวนปัจจัยโดยนัย
แห่งการสาธยาย ฉะนี้แล.
อนุโลมนัย จบ

วรรณนาเนื้อความแห่งปฏิจจวาระ


อรรถกถาปัจจยานุโลมนัย


บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงละทิ้งปัญหาที่วิสัชนาไม่ได้
อย่างนี้ว่า " อกุศลธรรม อาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
(ไม่ได้) "
เพราะกุศลธรรมกับอกุศลธรรมเป็นต้น เกิดพร้อมกันไม่ได้
แล้วแก้เฉพาะปัญหาที่วิสัชนาได้ในปัญหาทั้งหลาย ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงอาศัยกุศลติกะในปัณณัตติวาระ เมื่อทรงแสดงเพียงนัยได้ทรงแสดง
ไว้หาประมาณมิได้ เริ่มแต่ปัญหา 9 ข้อ ด้วยอำนาจเหตุปัจจัยเป็นต้น
จึงทรงเริ่มนิทเทสวาระแห่งปฏิจจวาระโดยนัยมีอาทิว่า " กุศลธรรม อาศัย
กุศลธรรมเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย. "

ในข้อนั้น พึงมีคำถามว่า ปัญหา 9 ข้อ ผิว่า เหตุปจฺจยา เป็น
อาทินี้ย่อมวิสัชนาไม่ได้ทั้งหมอ แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ทำไม
พระองค์ควรแสดงเฉพาะปัญหาที่วิสัชนาได้เท่านั้นมิใช่หรือ ? ตอบว่า ใช่
ควรแสดงอย่างนั้น แต่เมื่อแสดงอย่างนั้น ก็จำเป็นต้องแสดงไม่ให้รวบรัด
ในติกะ ทุกะ ติกทุกะ ติกติกะ และทุกทุกะหนึ่ง ๆ ในปัฏฐานทั้งหมด
มีติกทุกปัฏฐาน เป็นต้น. เพราะเหตุไร ? เพราะปัญหาที่มีอยู่ในกุศล-

ติกะไม่มีเวทนาติกะเป็นต้นเลย อนึ่ง ตอนวิสัชนาวิตักกติกะและปีติกะ
ในติกปัฏฐาน อันว่าด้วยธัมมานุโลมปัจจนียะ ปัญหาเหล่านี้ย่อมได้รับ
วิสัชนาทั้งหมดด้วย ฉะนั้น โดยการกำหนดอย่างละเอียด ปัญหาที่มีอยู่ใน
ติกะหนึ่ง ๆ ทั้งหมดพระองค์ทรงแสดงไว้แล้วในกุศลติกะ. จริงอยู่ เมื่อ
พระองค์ทรงแสดงปัญหาไว้อย่างนี้ ปัญหาที่วิสัชนาได้ อันพระองค์ทรง
ละทิ้งปัญหาที่แก้ไม่ได้ในกุศลติกะนั้นแล้วทรงกล่าวไว้. กุลบุตรก็จะเข้าใจ
ได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น เพื่อจะให้กุลบุตรเข้าใจได้ง่ายขึ้น พระองค์จึง
ทรงแสดงปัญหาแม้ทั้งหมด (รวม 49 ข้อ) ไว้ในกุศลติกะ. บัณฑิตพึง
ทราบว่า ก็ปัญหาใดไม่ได้วิสัชนาในกุศลติกะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ละทิ้งปัญหานั้นแล้ววิสัชนาเฉพาะปัญหาที่แก้ได้เท่านั้น.
พึงทราบเนื้อความในคำเหล่านั้นต่อไป คำว่า กุสลํ ธมฺมํ ปฏิจฺจ
ความว่า อาศัย คือ พึ่งพิง ซึ่งธรรมอันหนึ่งอันต่างโดยขันธ์ มีเวทนา-
ขันธ์เป็นต้น ในบรรดากุศลธรรมที่เป็นไปในภูมิ 4 คือถึงโดยความเป็น
ไปเช่นเดียวกัน อธิบายว่า เข้าถึงความเกิดขึ้นร่วมกันธรรมนั้น.
สองบทว่า กุสโล ธมฺโม คือ ธรรมอันหนึ่งซึ่งต่างโดยสัญญาขันธ์
เป็นต้น ในบรรดาธรรมอันเป็นไปในภูมิ เช่นเดียวกัน.
บทว่า อุปฺปชฺชตฺ ความว่า ถึงเบื้องบนตั้งแต่อุปาทขณะจนถึง
นิโรธขณะ คือย่อมบังเกิด. อธิบายว่า ย่อมได้ซึ่งความติดต่อกัน คือ
เข้าถึงขณะทั้งสามมีอุปาทขณะเป็นต้น. บทว่า เหตุปจฺจยา คือ เพราะ
กุศลเหตุที่ให้สำเร็จความเป็นเหตุปัจจัย. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวิสัชนาว่า
อุปฺปชฺชติ ย่อมเกิดขึ้น ในปุจฉาว่า พึงเกิดขึ้นดังพรรณนามาแล้ว บัดนี้

เพื่อจะแสดงซึ่ง ธรรมเป็นที่อิงอาศัย (ปัจจัย) และธรรมที่เข้าไปอาศัย
เกิดขึ้น
(ปัจจยุบบัน) ด้วยอำนาจแห่งขันธ์จึงตรัสคำมีอาทิว่า กุสลํ
เอกํ ขนฺธํ
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกํ คือ ขันธ์ใดขันธ์หนึ่งในบรรดา
ขันธ์สี่ มีเวทนาขันธ์เป็นต้น. สองบทว่า ตโย ขนฺธา คือ สามขันธ์
ที่เหลือเว้นขันธ์ที่ท่านจัดเป็นปัจจัย. คำว่า ตโย ขนฺเธ คือ ซึ่งขันธ์สาม
ที่เหลือในบรรดาขันธ์ มีเวทนาเป็นต้น เว้นขันธ์อันหนึ่งที่ท่านจัดว่า
กำลังเกิด (เพราะเหตุปัจจัย). คำว่า เทฺว ขนฺเธ ความว่า อาศัยขันธ์
สอง ขันธ์ใดขันธ์หนึ่งในทุกะ 6 มีเวทนาทุกะและสัญญาทุกะเป็นต้น.
สองบทว่า เทฺว ขนฺธา ความว่า ขันธ์ทั้งหลายสองที่เหลือเว้นขันธ์ที่ท่าน
จัดว่าเป็นปัจจัยเสีย ย่อมเกิดขึ้นเพราะกุศลเหตุที่ให้สำเร็จความเป็นเหตุ
ปัจจัย. ก็เพราะขันธ์หนึ่งจะเป็นปัจจัยเฉพาะแก่ขันธ์หนึ่งหรือขันธ์สอง
ไม่ได้ หรือขันธ์สองว่าเป็นปัจจัยเฉพาะแก่ขันธ์หนึ่งก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน
ฉะนั้น พระองค์จึงไม่ตรัสว่า เอกํ ขนฺธํ ปฏิจฺจ เอโก ขนฺโธ เอกํ ขนฺธํ
ปฏิจฺจ เทฺว ขนฺธา เทฺว ขนฺเธ ปฏิจฺจ เอโก ขนฺโธ
เป็นต้น. แม้ใน
คำมีอาทิว่า อัพยากตธรรมอาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้น บัณฑิตพึงทราบเนื้อ
ความตามนัยที่กล่าวแล้วนั้น แหละ.
คำนี้ว่า จิตฺตสมุฏฺฐานํ รูปํ นี้ ท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงซึ่งรูป ที่ได้
สหชาตปัจจัยและเหตุปัจจัยกับกุศล เพราะอรรถแห่งคำว่า ปฏิจฺจ มี
ความหมายว่า สหชาตะ (เพราะคำว่าอิงอาศัยมีอรรถว่าเกิดร่วม) แม้ใน
ที่ต่อจากนี้ในฐานะเช่นนี้พึงทราบนัยนี้เหมือนกัน. ในคำนี้ว่า วิปากา-

พยากตํ กิริยาพฺยากตํ จะเอาอเหตุกจิตเข้ามาร่วมด้วยไม่ได้ เพราะไม่มี
เหตุปัจจัย และไม่หมายถึงอรูปวิบากด้วย เพราะไม่เกิดพร้อมกับรูป
บทว่า ปฏิสนฺธิกฺขเณ ท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงว่า อัพยากตธรรม
คือกัมมชรูป อาศัยอัพยากตธรรมเกิดขึ้น, บทว่า วิปากาพฺยากตํ ท่าน
กล่าวด้วยอำนาจ อัพยากตธรรม ที่มีอยู่ในขณะนั้น. คำว่า ขนฺเธ ปฏิจฺจ
วตฺถุํ
นี้ ท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงว่า แม้เมื่อวัตถุรูป (หทัยวัตถุ) อันท่าน
ถือเอาแล้วด้วยศัพท์ว่า กฏัตตารูป ก็ยังต้องอาศัยขันธ์ทั้งหลายเกิด คำว่า
วตฺถุํ ปฏิจฺจ ขนฺธา ท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงว่า ขันธ์ทั้งหลายอาศัยวัตถุเกิด
คำว่า เอกํ มหาภูตํ เป็นต้น ก็ในกล่าวไว้เพื่อแสดงว่า อัพยากตธรรม
คือรูปอาศัยอัพยากตธรรมฝ่ายรูปเกิด ก็ในคำเหล่านี้ บัณฑิตพึงทราบ
อรรถโยชนา (การอธิบายความ) ตามนัยที่กล่าวไว้แล้วในคำว่า เอกํ
ขนฺธํ
เป็นต้น.
ในอัพยากตธรรมฝ่ายรูป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึง มหาภูตรูป
อาศัยมหาภูตรูปเกิด อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงถึงอุปาทารูป อาศัย
มหาภูตรูปเกิด จึงตรัสคำว่า มหาภูเต ปฏิจฺจ จิตฺตสมุฏฺฐานํ เป็นต้น
มีคำถามว่า เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ควรจะเรียกเสียอย่างนี้ว่า อุปาทารูป แต่
เรียกสองอย่างให้ต่างกันทำไม ? แก้ว่า เพื่อแสดงถึงรูปอาศัยมหาภูตรูป
เกิด คำว่า มหาภูตํ อุปาทารูปํ นี้บัณฑิตพึงทราบว่า พระองค์ตรัสไว้เพื่อ
แสดงว่า รูปใดที่แสดงไว้ในหนหลังว่า เกิดจากจิตและเกิดจากกรรม รูป
นั้นไม่ได้อาศัยขันธ์ทั้งหลายเกิดอย่างเดียว หากแต่อาศัยมหาภูตรูปเกิดด้วย.
บรรดารูปทั้งสองนั้น รูปที่จิตเป็นสมุฏฐานย่อมเกิดในปวัตติกาลเท่านั้น
รูปเกิดจากกรรมย่อมเกิดแม้ขณะปฏิสนธิกาลด้วย. บทว่า อุปาหารูปํ เป็น

วิเสสนะของสองบทนั้นนั่นแล. ในคำนี้ว่า กุสเล ขนฺเธ จ มหาภูเต จ
ปฏิจฺจ
(อาศัยกุศลขันธ์และมหาภูตรูป) หมายเอามหาภูตรูปที่มีจิตเป็น
สมุฏฐานเท่านั้น. ส่วนในคำนี้ว่า จิตฺตสมุฏฺฐานํ รูปํ หมายเอาทั้งมหา-
ภูตรูป และอุปาทารูป
จริงอยู่ แม้มหาภูตรูป ก็อาศัยขันธ์ทั้งหลาย และ
มหาภูตรูปด้วยกันเกิด โดยนัยเป็นต้นว่า เอกํ มหาภูตํ ปฏิจฺจ ตโย
มหาภูตา
ถึงอุปาทารูป ก็อาศัยขันธ์และมหาภูตรูปเกิด โดยนัยที่ท่าน
กล่าวไว้ว่า มหาภูเต ปฏิจฺจ อุปาทารูปํ. แม้ในการวิสัชนาปัญหาว่า
อกุสลญฺจ อพฺยากตญฺจ ก็นัยนี้เหมือนกัน. ปุจฉา 9 ข้อในเหตุปัจจัย
เป็นอันได้รับวิสัชนาแล้วด้วยประการฉะนี้. จริงอยู่ ปัญหาเหล่านี้เท่านั้น
ที่ใช้ได้ในเหตุปัจจัยนี้ ปัญหาที่เหลือ 40 ข้อ เป็นโมฆปัญหา เพราะ
เหตุนั้นจึงไม่ได้รับวิสัชนา. บัณฑิตพึงทราบอรรถแห่งปุจฉาและวิสัชนา
แม้ในอารัมมณปัจจัยเป็นต้น ตามนัยนี้. ส่วนคำที่ควรจะวิจารณ์ไว้ใน
ปัจจัยนั้น ๆ ข้าพเจ้าจักวิจารณ์ต่อไป.
พึงทราบวินิจฉัยใน อารัมมณปัจจัย ก่อน บรรดาปุจฉา 9 ข้อ
ท่านวิสัชนาไว้ 3 ข้อเท่านั้น โดยทั้งปุจฉาที่เกี่ยวกับรูปเสีย เพราะรูปไม่
เกิดด้วยอำนาจอารัมมณปัจจัย. เพราะเหตุนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า ขันธ์ทั้งหลายอาศัยวัตถุ ไม่ตรัสว่า วัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย
เพราะว่าวัตถุรูปนั้นไม่เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย.
ใน อธิปติปัจจัย คำว่า วิปากาพฺยากตํ นี้ พระองค์ตรัสหมาย
เอาเฉพาะ โลกุตตรวิบาก เท่านั้น เพราะฉะนั้น ในปัจจัยนี้ ท่านจึงไม่ได้
มุ่งเอาว่า " ในปฏิสนธิขณะ." คำที่เหลือเช่นเดียวกับเหตุปัจจัย.

แม้ใน อนันตรปัจจัย และ สมนันตรปัจจัย รูปก็มีไม่ได้ ฉะนั้น
จึงมีปุจฉา 3 ข้อเหมือนในอารัมมณปัจจัย.
ใน สหชาตปัจจัย คำว่า ปฏิสนฺธิกฺขเณ พระองค์ตรัสด้วยอำนาจ
ปฏิสนธิในปัญจโวการภพ ส่วนในปัจจยวิภังค์ในหนหลัง (ข้างต้น) มา
แล้วว่า โอกฺกนฺติกฺขเณ. แม้คำนั้นกับคำนี้ ว่าโดยเนื้อความแล้วเป็นอัน
เดียวกัน จริงอยู่สองคำนี้ต่างกันเพียงพยัญชนะเท่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า
โอกฺกนฺติ นี้เป็นชื่อแห่งปัญจโวการปฏิสนธิ โดยพระบาลีว่า เพราะประชุม
พร้อมแห่งองค์สาม สัตว์ย่อมก้าวลงสู่ครรภ์. คำว่า ปฏิสนธิ ใช้ทั่วไป
แก่ภพทั้งปวง. แต่ในที่นี้ ประสงค์เอาเฉพาะปัญจโวการปฏิสนธิเท่านั้น
เพราะพระบาลีว่า กฏตฺตา จ รูปํ ดังนี้ เป็นต้น. จริงอยู่ คำว่า ปฏิสนธิ
นั้น ย่อมประมวลมาซึ่งความเป็นปัจจัย และปัจจยุบบันแห่งรูป และ
อรูปเข้าด้วยกัน. เพราะฉะนั้น การวิสัชนาที่บริบูรณ์ท่านจึงถือเอาว่าย่อม
มีได้. คำว่า พาหิรํ เอกํ มหาภตํ ท่านกล่าวหมายเอามหาภูตรูปในที่
ทั้งหลาย มีพื้นดิน และแผ่นหินเป็นต้น ซึ่งไม่เนื่องด้วยอินทรีย์. จริงอยู่
ในปัจจยวิภังควาระท่านถือเอารวมกัน ทั้งภายในและภายนอกว่า จตฺตาโร
มหาภูตา.
เพราะนั้นเป็นการแสดงโดยย่อ. แต่นี้เป็นการแสดงโดยพิสดาร
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงจำแนกให้หมดจึงตรัสว่า
พาหิรํ เอกํ มหาภูตํ เป็นต้น. คำว่า อสญฺญสตฺตานํ เอกํ มหาภูตํ
ปฏิจฺจ
พระองค์ตรัสด้วยอำนาจแห่งมหาภูตรูป ที่มีสันตติ และ สมุฏฐาน
สอง. ส่วนคำนี้ว่า มหาภูเต ปฏิจฺจ กฏตฺตารูปํ ท่านกล่าวด้วยอำนาจ
รูปมีกรรมเป็นสมุฏฐาน. คำนี้ว่า อุปาทารูปํ ท่านกล่าวด้วยอำนาจรูปมี
อุตุเป็นสมุฏฐาน.

ใน อัญญมัญญปัจจัย ท่านกล่าวว่า ขนฺเธ ปฏิจฺจ วตฺถุ วตฺถุํ
ปฏิจฺจ ขนฺธา
(วัตถุอาศัยขันธ์ ขันธ์อาศัยวัตถุ) ดังนี้ ก็เพื่อแสดงว่า
(นาม) ขันธ์แม้ทั้งสี่เป็นอัญญมัญญปัจจัยแก่วัตถุโดยส่วนเดียว.
ใน นิสสยปัจจัย อันอรรถแห่งคำว่า ปฏิจฺจ ใจความเหมือนกับ
สหชาตะ เพราะฉะนั้น ความที่จักขายตนะเป็นต้น เป็นนิสสยปัจจัย ซึ่ง
ท่านแสดงไว้แล้วในปัจจัยวิภังควาระในหนหลัง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่
ทรงถือเอาด้วย. จริงอยู่ จักขายตนะเป็นต้น เป็นปุเรชาตปัจจัย แต่ใน
ที่นี้เป็นได้เฉพาะสหชาตปัจจัย เพราะเหตุนั้นเอง ท่านจึงกล่าวไว้ว่า
นิสสยปัจจัย เช่นเดียวกับสหชาตปัจจัย.
ใน อุปนิสสยปัจจัย ย่อมได้วิสัชนา 3 วาระเท่านั้น เพราะความ
ที่รูปเป็นอปนิสสยปัจจัยไม่ได้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่าเช่นเดียว
กับอารัมมณปัจจัย. ในอุปนิสสยปัจจัยนั้น กุศล อกุศล และอัพยากตธรรม
ทั้งหมดย่อมไม่ได้อารัมมณูปนิสสยปัจจัย แม้ก็จริง แต่คำนั้นบัณฑิต
พึงทราบว่า ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งธรรมที่ได้ (อารัมมณูปนิสสยะ)
เท่านั้น.
พึงทราบวินิจฉัยใน ปุเรชาตปัจจัย ต่อไป. สองบทว่า วตฺถุํ ปุเร-
ชาตปจฺจยา
ความว่า ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะอาศัยวัตถุ คือด้วยวัตถุ
อันให้สำเร็จความเป็นปุเรชาตปัจจัย. ในคำว่า วิปกาพฺยากตํ เอกํ ขนฺธํ
นี้ มีอธิบายว่า ในอธิการนี้ วัตถุรูปใดเป็นสหชาตปัจจัยแก่อัพยากตวิบาก
บัณฑิตไม่พึงถือเอาวัตถุรูปนั้น ในปุเรชาตปัจจัยนี้ เพราะจะต้องจำแนก
โดยปุเรชาตปัจจัย. แม้ธรรมทั้งหลายมีกุศลเป็นต้น ที่ไม่ได้ปุเรชาตปัจจัย
ในอรูปภพ ก็ไม่ควรถือเอาในอธิการนี้ เพราะจะต้องจำแนกเป็น

ปุเรชาตปัจจัยเหมือนกัน. ส่วนอารมณ์ย่อมไม่ได้ความเป็นปุเรชาตปัจจัย
โดยแน่นอน. เพราะว่ารูปายตนะเป็นต้น ให้สำเร็จความเป็นปุเรชาตปัจจัย
แก่จักขุวิญญาณเป็นต้นเท่านั้น. อารมณ์ทั้งหลายที่เป็นอดีต อนาคตย่อม
มีแก่มโนวิญญาณธาตุเท่านั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ถือเอาในที่นี้. เพราะ
ว่านี้เป็นการแสดงด้วยอำนาจแห่งขันธ์ ไม่ใช่ด้วยอำนาจแห่งวิญญาณ-
ธาตุ. อนึ่ง ด้วยเทศนาว่า วิปากาพฺยากตํ เอกํ ขนฺธํ ท่านหมายเอา
วิญญาณธาตุทั้งหมด ไม่หมายเฉพาะจักขุวิญญาณธาตุเป็นต้นเท่านั้น ดังนี้
แล.
ธรรมที่เกิดขึ้นภายหลัง ย่อมไม่เป็นปัจจัยแก่กุศล และอกุศล
เพียงแต่ค้ำจุนอัพยากตธรรมเท่านั้น หาใช่เป็นตัวแต่งให้เกิดไม่ เพราะ
เหตุนั้น แม้ธรรมอย่างหนึ่งที่ควรจะกล่าวอย่างนี้ว่า เกิดขึ้นเพราะ
ปัจฉาชาตปัจจัยจึงไม่มี เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่ได้ทำการวิสัชนา
ไว้ด้วยอำนาจปัจฉาชาตปัจจัย.

พึงทราบวินิจฉัยใน อาเสวนปัจจัย กิริยาจิตย่อมไม่ได้อาเสวนปัจจัย
ทั้งหมดก็จริง ถึงอย่างนั้นท่านก็กล่าวว่า กิริยาพฺยากตํ ด้วยอำนาจกิริยา
จิตที่ได้ (อาเสวนปัจจัย) เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า อันชวนะกิริยาท่าน
ถือเอาแล้วในอธิการนี้.
พึงทราบวินิจฉัยใน กัมมปัจจัย พึงทราบว่า ในกุศลจิต อกุศลจิต
มีกัมมปัจจัยที่เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน แม้อัพยากตกิริยาก็เหมือนกัน.
ส่วนในอัพยากตะฝ่ายวิบาก พึงทราบว่า กัมมปัจจัย ที่เป็นไปต่างขณะ
กัน. อนึ่ง ในขณะปฏิสนธิ นานักขณิกกมัมปัจจัย พึงทราบว่ามีแก่มหา-
ภูตรูปด้วย. ส่วนรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน มีเอกขณิกกัมมปัจจัยเท่านั้น.

กัมมชรูปและรูปแห่งอสัญญสัตตพรหม มีเฉพาะนานักขณิกกัมมปัจจัย
เหมือนกัน. แก่กัมมชรูปในที่นี้ได้แก่ชีวิตินทรีย์. รูปที่เหลือท่านเรียกว่า
อุปาทารูป รูปอาศัย เพราะไม่ได้เกิดจากกรรมอย่างเดียว. เมื่อเป็น
เช่นนั้นในอธิการนี้ ท่านประสงค์เอาเฉพาะกัมมชรูปเท่านั้น.
กุศล อกุศล และกิริยาย่อมไม่ได้ใน วิปากปัจจัย เพราะฉะนั้น
ท่านจึงแต่งวิสัชนาด้วยอำนาจแห่งอัพยากตะเท่านั้น. บทว่า จิตฺตสมุฏฺ-
ฐานํ
มุ่งเฉพาะรูปที่มีวิบากจิตเป็นสมุฏฐานเท่านั้น. บทว่า กฏตฺตารูปํ
คือ อินทรีย์รูป และวัตถุรูปตามสมควรแก่ภูมิที่จะมีได้. บทว่า อุปาทารูปํ
คือ อุปาทารูปที่เหลือนอกจากนั้น ซึ่งมีอยู่ในสมัยนั้น.
ใน อาหารปัจจัย พึงทราบการเกิดขึ้นแห่งขันธ์ทั้งหลาย มีกุศล
เป็นต้นทั้งหมด แห่งรูปที่มี เป็นสมุฏฐาน แห่งอรูป และแห่งมหาภูตรูป
ในขณะปฏิสนธิ ด้วยอำนาจแห่งอาหารที่เป็นนาม. บทว่า จิตฺตสมุฏฐานํ
คือ มีภวังคจิตเป็นต้น เป็นสมุฏฐาน. บทว่า อาหารสมุฏฺฐานํ คือ มี
กพฬีการาหารเป็นสมุฏฐาน. บทว่า จิตฺตสมุฏฐานํ คือ มีกุศลจิตและ
อกุศลจิตเป็นสมุฏฐานเท่านั้น ว่าโดยลำดับแห่งอาหารในปัจจยวิภังควาระ
ท่านแสดงกพฬีการาหารไว้เป็นที่ 1 แต่ในที่นี้พึงทราบว่าท่านแสดง
อาหารที่เป็นนามก่อน ด้วยอำนาจปุจฉาว่า กุสลํ ธมฺมํ เป็นต้น.
แม้ใน อินทริยปัจจัย โดยการจัดลำดับอินทรีย์ในปัจจยวิภังค์ ท่าน
แสดงจักขุนทรีย์เป็นอันดับแรก ส่วนในอธิการนี้ท่านแสดงความที่ อรูป-
อินทรีย์
เป็นปัจจัยก่อน เกี่ยวกับคำถามถึงธรรมที่เป็นกุศลเป็นต้น บรรดา
อรูปอินทรีย์เหล่านั้น ควรถือเอาอรูปอินทรีย์เท่าที่จะหาได้ในธรรมทั้งหลาย

มีกุศลเป็นต้น. แม้ในภูตรูปทั้งหลาย ที่เกิดแล้วแก่อสัญญสัตตพรหม
ทั้งหลายก็ควรถือเอาเฉพาะชีวิตินทรีย์และ.

ใน ฌานปัจจัย และ มัคคปัจจัย มีวิสัชนาเช่นเดียวกับเหตุปัจจัย
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอธิการนี้ว่า เช่นเดียวกับเหตุปัจจัย.
วิสัชนาใน สัมปยุตตปัจจัย มีคติเหมือนอารัมมณปัจจัย ฉะนั้น ในที่นี้
ท่านจึงกล่าวว่า เหมือนอารัมมณปัจจัย.
พึงทราบวินิจฉัยใน วิปปยุตตปัจจัย ต่อไป. สองบทว่า วตฺถุํ
วิปฺปยุตฺตปจฺจยา
ความว่า ธรรมทั้งหลายอาศัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะ วิปป-
ยุตตปัจจัย
คือเพราะวัตถุที่ให้สำเร็จความเป็นวิปปยุตตปัจจัย. สองบทว่า
ขนฺเธ วิปฺปยุตฺตปจฺจยา ความว่า ธรรมทั้งหลายอาศัยขันธ์ทั้งหลายเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือเพราะขันธ์ทั้งหลายที่ให้สำเร็จความเป็นวิปปยุตต-
ปัจจัย. คำว่า ขนฺธา วตฺถุํ วิปฺปยุตฺตปจฺจยา อธิบายว่า ขันธ์ทั้งหลาย
อาศัยวัตถุเกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือเพราะวัตถุที่ให้สำเร็จความ
เป็นวิปปยุตตปัจจัย. คำว่า จิตฺตสมุฏฺฐานํ รูปํ ขนฺเธ วิปฺปยตฺตปจฺจยา
ความว่า รูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานอาศัยขันธ์ทั้งหลายเกิดขึ้น เพราะ วิปป-
ยุตตปัจจัย
เพราะขันธ์ทั้งหลายให้สำเร็จความเป็นวิปปยุตตปัจจัย แม้ใน
วิสัชนาที่เหลือ บัณฑิตพึงทราบความตามนัยที่ท่านกล่าวไว้ในคำว่า วตฺถุํ
วิปฺปยุตฺตปจฺจยา
เป็นต้น. ก็ด้วยศัพท์ว่า วัตถุ ในวิปากาพยากตะนี้
บัณฑิตควรรวมเอาจักขุเป็นต้นมาด้วย. คำว่า เอกํ มหาภูตํ เป็นอาทิ
ท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงว่า มหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่อัพยากตธรรมฝ่ายรูป.
บทว่า จิตฺตสมุฏฺฐานํ ความว่า ย่อมได้รูปที่มีอัพยากตจิตเป็นสมุฏฐาน
และรูปที่มีกุศลและอกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน.

ใน อัตถิปัจจัย คำอธิบายทั้งหมดดำเนินตามสหชาตปัจจัย เพราะ
ฉะนั้น ในปัจจัยนี้ท่านกล่าวว่า เหมือนกับสหชาตปัจจัย.
นัตถิปัจจัย และ วิคตปัจจัย แนวเดียวกับอารัมมณปัจจัย. อวิคต-
ปัจจัย
มีคติเหมือนสหชาตปัจจัย เพราะเหตุนั้นในปัจจัยนั้นท่านจึงกล่าวว่า
เหมือนสหชาตปัจจัย.
คำว่า อิเม เตวีสติ ปจฺจยา ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจปัจจัย อัน
ท่านย่อแสดงไว้. บทว่า วิตฺถาเรตพฺพา ความว่า ผู้ศึกษาพึงอธิบายให้
พิสดารด้วยอำนาจปุจฉาที่วิสัชนาได้ นี้เป็นการพรรณนาเนื้อความในการ
วิสัชนากุสลติกะแห่ง ปฏิจจวาระ ใน ปัจจยานุโลม ที่มีมูลหนึ่ง เริ่มแต่
เหตุปัจจัยเป็นต้น.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงวิสัชนาวาระที่ได้ในปัจจัยหนึ่งๆ ในบรรดาเหตุ-
ปัจจัยเป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งจำนวนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เหตุ-
ยา นว
เป็นอาทิ. พึงทราบวินิจฉัยในคำนั้น. สองบทว่า เหตุยา นว
ความว่า ในเหตุปัจจัยมีวาระแห่งปุจฉาและวิสัชนา 9 วาระ คืออย่างไร ?
คือ กุศลกับกุศล อัพยากตะกับกุศล กุศลและอัพยากตะกับกุศล อกุศล
กับอกุศล อัพยากตะกับอกุศล อกุศลและอัพยากตะกับอกุศล อัพยากตะ
กับอัพยากตะ อัพยากตะกับกุศลและอัพยากตะ อัพยากตะกับอกุศลและ
อัพยากตะ สองบทว่า อารฺมมเณ ตีณิ คือ กุศลกับกุศล อกุศลกับอกุศล
อัพยากตะกับอัพยากตะ.
บทว่า อธิปติยา นว เช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วในเหตุ. ท่านกล่าว
ไว้ว่า จริงอยู่ ในปัจจัย 2 ท่านจำแนกออกไปปัจจัยละ 9. ปุจฉาและ
วิสัชนาในปัจจัยทั้งปวง เช่นเดียวกับเหตุปัจจัยนั่นเอง. แต่ในวิภังค์มี

แปลกกันออกไป. เพราะว่ารูปก็ยังมีได้ในการวิสัชนาอัพยากตบท ใน
อัญญมัญญปัจจัย. ในปุรชาตปัจจัยก็เหมือนกัน. ใน อาเสวนปัจจัย
ไม่ได้วิบากจิตและวิถีจิต. สองบทว่า วิปาเก เอกํ คือ อัพยากตะกับ
อัพยากตะนั่นเอง. เมื่อว่าโดยย่อ ในอธิการนี้มีการกำหนดวาระอย่าง
เท่านั้น คือ 9-3-1 โดยพิสดารดังนี้คือ หมวดนวกะมี 12 ปัจจัย
หมวดติกะมี 10 หมวดเอกะมี 1. ในปัจจัย 23 ทั้งหมดมี 139 วาระ
และปุจฉาอีก 139 ข้อ. แม้คำว่า เอกูนจตฺตาฬีสาธิกํ ปุจฺฉาวิสชฺชนสตํ
ก็ระบุถึงคำว่า เอกูนจตฺตาฬีสาธิกํ วารสตํ นั้นเอง พระอาจารย์ครั้น
แสดงการนับในปัจจัยที่มีมูลหนึ่ง มีเหตุปัจจัยเป็นต้นอย่างนี้แล้ว เพื่อจะถือ
เอาเฉพาะจำนวนที่ได้อยู่ในเทศนา ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงย่อวิตถาร
เทศนาในปัจจัยที่มีมูลสองอื่นจากนี้ แล้วแสดงไว้ในปัจจัยที่มีมูลหนึ่ง แล้ว
แสดงการกำหนดวาระ จึงกล่าวคำว่า เหตุปจฺจยา อารมฺมเณ ตีณิ
เพราะเหตุปัจจัย ในอารัมมณปัจจัย มี 3 วาระ เป็นต้น ในปัจจัยที่มีมูลสอง
ก่อน.
ในข้อนั้น มีวิธีกำหนดดังนี้ ปัจจัย ที่มีการนับมาก (คือมีวาระมาก)
ประกอบกับปัจจัยที่มีการนับไม่มาก ย่อมมีจำนวน (วาระ) เท่ากับจำนวน
ไม่มากนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เหตุปจฺจยา อารมฺมเณ ตีณิ
เพราะเหตุปัจจัยในอารัมมณปัจจัยมี 3 วาระ. อธิบายว่า ในเหตุอารัมมณ-
ทุกะได้วิสัชนา 3 ข้อ ที่กล่าวไว้ในอารมณ์เท่านั้น. ส่วนปัจจัยที่มีวิธีนับ
เท่ากัน ประกอบกับปัจจัยที่มีวิธีนับเท่ากัน ย่อมมีจำนวนเพิ่มและลด
ลง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เหตุปจฺจยา อธิปติยา นว เพราะ

เหตุปัจจัยในอธิปติปัจจัยมี 9 วาระ. อธิบายว่า ในเหตุอธิปติทุกะได้
วิสัชนา 9 ข้อ.
สองบทว่า วิปาเก เอกํ ความว่า ในเหตุวิปากทุกะย่อมได้วิสัชนา
1 ข้อ ที่กล่าวไว้ในวิบากเท่านั้น บัณฑิตพึงทราบการกำหนดวาระในปัจจัย
ที่มีมูล 2 เท่านี้ก่อนด้วยประการฉะนี้. ในวิสัชนาที่มีมูล 3 เป็นต้น ก็มี
วิธีกำหนดอย่างนี้เหมือนกัน เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวว่า เหตุปจฺจยา
อารมฺมณปจฺจยา อธิปติยา ตีณิ
เพราะเหตุปัจจัย อารัมมณปัจจัย ใน
อธิปติปัจจัยมี 3 วาระ อธิบายว่า ใน เหตุอารมฺมณอธิปติติกะ ได้
วิสัชนา 3 ที่กล่าวไว้ในอารมณ์เท่านั้น ในวิสัชนาทั้งปวง บัณฑิตพึง
ขยายนัยออกไปอย่างนี้. ส่วนในวิสัชนาที่มีมูล 12 ย่อมไม่ได้วิปากปัจจัย
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อาเสวนปจฺจยา กมฺเม ตีณิ เพราะ
อาเสวนปัจจัย ในกัมมปัจจัยมี 3 วาระ แล้วกล่าวว่า อาหาเร ตีณิ ใน
อาหารปัจจัยมี 3 วาระ เป็นต้น ไม่เท้าความไปถึงวิบากเลย แม้ใน
วิสัชนาที่มีมูล 13 เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน เป็นแต่ว่าในที่นี้ท่านย่อ
ปัจจัยเหล่านั้น แล้วกล่าวถึงปัจจัยที่มีมูล 23.
ปัจจัยมีมูล 23 นั้น ปัจจัยนั้นแยกเป็น 2 ประเภท คือที่มี
อาเสวนะบ้าง มีวิบากบ้าง ใน 2 อย่างนั้นที่มีอาเสวนะ ท่านแสดงไว้
ก่อน ปัจจัยที่มีอาเสวนะนั้นได้วิสัชนา 3 ข้อเท่านั้น เพราะเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า อาเสวนปจฺจยา อวิคเต ตีณิ เพราะอาเสวนปัจจัย ในอวิคต-
ปัจจัยมี 3 วาระ ส่วนปัจจัยที่มีวิบาก (เกิดร่วมกับวิบาก) ย่อมไม่ได้
อาเสวนะ. เพราะฉะนั้น เพื่อจะละอาเสวนะแล้วแสดงจำนวนด้วยอำนาจ
วิบาก ท่านจึงแสดงนัยหนึ่งคั่นไว้ว่า เหตุปจฺจยา ฯเปฯ วิปากปจฺจยา

อาหาเร เอกํ แล้วแสดงมูล 23 ภายหลัง. ก็บรรดาปัจจัยที่มีมูล 2
สองพวกนี้ วิปากปัจจัยไม่มีในพวกหนึ่ง อาเสวนปัจจัยไม่มีในพวกหนึ่ง
ก็จริง แต่ปัจฉาชาตปัจจัยมีได้ทั้งสองพวก. แต่บัณฑิตพึงทราบมูล 23
นี้เท่านั้น โดยศัพท์เกินมา ในปัจจัย 2 พวกนั้น ฝ่ายมีอาเสวนะได้
วิสัชนา 3 ด้วยอำนาจอาเสวนะ ฝ่ายมีวิบากได้วิสัชนาหนึ่ง ด้วยอำนาจ
วิปากปัจจัยนี้ เป็นการนับในปัจจัยที่มีมูลหนึ่งเป็นต้น เริ่มแต่เหตุปัจจัย
มาด้วยประการฉะนี้.
ก็คำนี้อันใดท่านกล่าวไว้ว่า อารมฺมเณ ฐิเตน สพฺพตฺถ ตีเณว
ปญฺหา
ในลำดับปัจจัยที่มีเหตุปัจจัยเป็นมูล คำนั้นท่านกล่าวไว้เพื่อแสดง
ว่าในอารัมมณบททุกบท ทั้งในฝ่ายปัจจัยที่มีมูล 1 และมีมูล 2 เป็นต้น
เริ่มแต่อารัมมณปัจจัยไป และในการประกอบอธิบายปัจจัยที่เหลือพร้อม
กับอารมณ์ ปัจจัยที่มีปัญหา 9 ข้อ มีปุจฉา 3 ข้อเท่านั้น ส่วนในวิปากบท
และในการประกอบปัจจัยที่เหลือพร้อมกับวิปากบท มีปัญหาข้อเดียว
เท่านั้น คำใดที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในหนหลังว่า ปัจจัยที่มีวิธีการนับมาก รวม
กับปัจจัยที่มีวิธีการนับไม่มาก ย่อมมีจำนวนเท่ากันกับปัจจัยที่ไม่มากนั้น
ดังนี้ คำนั้น ข้าพเจ้ากล่าวไว้ถูกต้องแล้วแล.
บัดนี้ พึงแสดงปัจจัยที่มีมูลเดียวเป็นต้น ด้วยอำนาจอารัมมณปัจจัย
เป็นอาทิ ในปัจจัยเหล่านั้น ปัจจัยที่มีมูล 1 ก่อน ท่านไม่ได้แสดงไว้ใน
ปัจจัยสักอย่างหนึ่งว่า เหมือนกับปัจจัยที่มีมูลหนึ่งแห่งเหตุปัจจัยนั่นเอง.
ก็เพื่อจะแสดงจำนวนในปัจจัยที่มีมูล 2 ด้วยอำนาจอารัมมณปัจจัย ท่าน
จึงกล่าวว่า อารมฺมณปจฺจยา เหตุยา ตีณิ อธิปติยา ตีณิ ฯเปฯ อวิคเต
ตีณิ
ก็ในอธิการนี้เมื่อท่านควรจะกล่าวว่า อารมฺมณปจฺจยา อธิปติยา

ตีณิ ฯเปฯ อวิคเต ตีณิ ท่านก็วางเหตุปัจจัยแม้อยู่ข้างหน้าของอารัมมณ-
ปัจจัยไว้ข้างหลัง แล้วกล่าวว่า อารมฺมณปจฺจยา เหตุยา ตีณิ เพราะ
อารัมมณปัจจัย ในเหตุปัจจัยมี 3 วาระ เพื่อแสดงปัจจัยที่มีวิธีนับมาก
มีเหตุปัจจัยเป็นต้น และวิธีนับที่หาได้ในการเทียบเคียงปัจจัยเหล่านั้น.
ปัจจัยที่มีวิธีการนับน้อยกว่าและเท่ากัน. คำนี้ย่อมแจ่มแจ้งด้วยอธิบายนั้น.
อารัมมณปัจจัยย่อมถึงความต่างกัน โดยเป็นทุกะและติกะ เพราะวิธีการนับ
ที่มากกว่าหรือเท่ากับปัจจัยใด ๆ ในปัจจัยนั้นทั้งหมด พึงทราบว่ามีปัญหา
และวิสัชนา 3 ข้อเท่านั้น. ส่วนในการเทียบเคียงกับวิปากปัจจัย ย่อมได้
ปุจฉาและวิสัชนาข้อเดียวเท่านั้น ข้อนั้นท่าไม่ได้แสดงไว้ในอธิการนี้ว่า
จักมีแจ้งในการนับเกี่ยวกับวิปากปัจจัยเป็นต้น และการนับที่ท่านแสดงไว้
ในปัจจัยที่มีมูล 2 นี้แหละ เป็นวิธีนับในปัจจัยที่มีมูล 3 เป็นต้นด้วย
เพราะฉะนั้น ปัจจัยที่มีมูล 3 เป็นต้น ท่านจึงไม่อธิบายไว้อย่างพิสดาร
ด้วยอำนาจอารัมมณปัจจัย.
บัดนี้ ท่านกล่าวคำมีอาทิว่า อธิปติปจฺจยา เหตุยา นว เพราะ
อธิปติปัจจัย ในเหตุปัจจัยมี 9 วาระ เพื่อจะแสดงวิธีนับ ในปัจจัยที่มีมูล 2
เป็นต้น ด้วยอำนาจอธิปติปัจจัยเป็นต้น พึงทราบนิทเทสแห่งปัจจัยตาม
นัยที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในเหตุปัจจัยนั้นนั่นแล ก็เพราะอธิปติปัจจัย
(เป็นมูล) เหตุปัจจัยมีปุจฉาและวิสัชนา 9 ข้อฉันใด ในปัจจัยที่มีวินับ
เท่ากับเหตุปัจจัยที่เหลือก็มี 9 ข้อฉันนั้น ดังที่ได้อธิบายมาแล้วนี้ ในการ
เทียบเคียงปัจจัย ที่มีวิธีนับเท่ากับปัจจัยที่มีอยู่ในอันดับแรก การนับย่อม
มีด้วยอำนาจแห่งปัจจัย ที่อยู่ในอันดับแรก ผู้ศึกษาพึงทราบว่า ก็ในการ
เทียบเคียงปัจจัยมีการนับน้อยกว่ากับปัจจัยที่เป็นตัวตั้งนั้น จำนวนย่อมมี

ด้วยอำนาจแห่งปัจจัยที่มีการนับน้อยกว่า บัณฑิตอธิบายปัจจัยที่มีมูล 3 ให้
พิสดารด้วยอำนาจอารัมมณปัจจัย ฉันใด จะอธิบายด้วยอำนาจอธิปติปัจจัย
ก็ดี อนันตรปัจจัยอื่นจากนั้นก็ดี เหมือนอย่างนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น
ในปัจจัยทั้งหมดควรให้สำเร็จด้วยอำนาจแห่งวิธีนับ อันท่านแสดงไว้แล้ว
ในปัจจัยที่มีมูล 2 เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ ท่านจึงกล่าวว่า การทำปัจจัย
หนึ่ง ๆ ให้เป็นมูลแล้วนับตามพลความที่ลำดับไว้.
จบอรรถกถาปัจจยานุโลมนัย

ปัจจยปัจจนียนัย


[87] 1. อกุศลธรรม อาศัยอกุศลธรรมเกิดขึ้น เพราะนเหตุปัจจัย

คือ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์
ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น.
2. อัพยากตธรรม อาศัยอัพยากตธรรมเกิดขึ้น เพราะนเหตุ-
ปัจจัย

คือ ขันธ์ 3 และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ 1 ที่เป็นอัพยากต-
วิบาก อัพยากตกิริยา ซึ่งเป็นอเหตุกะเกิดขึ้น, ขันธ์ 1 และจิตต-
สมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ 3 เกิดขึ้น, ขันธ์ 2 และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย
ขันธ์ 2 เกิดขึ้น.
ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ 3 และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ 1
ที่เป็นอัพยากตวิบากเกิดขึ้น, ขันธ์ 1 และกฏัตตารูป อาศัยรูปขันธ์ 3 เกิด