เมนู

ในปัจจนียานุโลม มีนัยอันลึกซึ้ง 6 ประการ คือ
ติกปัฏฐานอันประเสริฐ ทุกปัฏฐานอันอุดม ทุกัตติก-
ปัฏฐาน ติกัททุกปัฏฐาน ติกัตติกปัฏฐาน และ
ทุกัททุกปัฏฐาน.

ปัณณัตติวาระ1 จบ

อรรถกถาปัณณัตติวาระ


(ว่าด้วยการตั้งชื่อ)


(บาลีอรรถกถาหน้า 529-552)

คำว่า ติกปัฏฐาน ทุกปัฏฐาน ฯ ล ฯ ทุกทุกปัฏฐาน นี้ พระผู้-
มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในปัฏฐานมหาปกรณ์ อันเป็นที่รวมแห่งสมันต-
ปัฏฐาน 24 ด้วยอำนาจติกปัฏฐานเป็นฐาน ในบรรดาปัฏฐานทั้งหลาย
มีอนุโลม ปัฏฐานเป็นต้น ดังกล่าวมาแล้ว โดยทรงอาศัยติกปัฏฐานเป็นต้น
เหล่าใด ขยายความ ติกปัฏฐานเป็นต้นเหล่านั้น ทรงจำแนกปัฏฐาน
เหล่านั้นมีติกปัฏฐานเป็นต้น ด้วยอำนาจปัจจัยเหล่าใด ครั้นทรงแสดง
เฉพาะปัจจัยเหล่านั้น ไม่พาดพิงถึงติกปัฏฐานเป็นต้นเหล่านั้น ทั้งโดย
อุทเทสและนิทเทสด้วยวาระ กล่าวคือการจำแนกปัจจัยโดยการตั้งหัวข้อนี้
ก่อนแล้ว เพราะพระองค์ทรงอาศัยติกปัฏฐานเป็นต้นเหล่าใด จึงตรัสคำว่า
ติกปัฏฐาน ทุกปัฏฐาน ฯ ล ฯ ทุกทุกปัฏฐาน บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดง
1. คือปฏิจจวารอุทเทส.

ติกปัฏฐาน เป็นต้นเหล่านั้น ให้พิสดารด้วยอำนาจปัจจัยเหล่านั้น จึงทรง
อาศัยติกะ และทุกะหนึ่ง ๆ แต่งเทศนาด้วยวาระใหญ่ 7. ชื่อแห่งวาระ
ใหญ่ 7 เหล่านั้นคือ ปฏิจจวาระ สหชาตวาระ ปัจจยวาระ นิสสยวาระ
สังสัฏฐวาระ สัมปยุตตวาระ ปัญหาวาระ.
บรรดาวาระ 7 เหล่านั้น วาระที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยพระ-
ดำรัสว่า ปฏิจฺจ (อาศัย) อย่างนี้ว่า กุสลํ ธมฺมํ ปฏิจฺจ กุสโล ธมฺโม
ชื่อว่า ปฏิจจวาระ.
ที่ตรัสด้วยอำนาจพระดำรัสว่า สหชาโต อย่างนี้ว่า กุสลํ ธมฺมํ
สหชาโต กุสโล ธมฺโม ชื่อว่า สหชาตวาระ. สหชาตวาระนั้นว่าโดย
เนื้อความแล้ว ไม่ต่างจากปฏิจจวาระที่กล่าวมาก่อน. แต่วาระที่หนึ่ง ตรัส
ด้วยอำนาจ เวไนยสัตว์ ที่จะตรัสรู้ด้วยอำนาจพระดำรัสว่า ปฏิจจะ.
วาระที่สองตรัสด้วยอำนาจเวไนยสัตว์ ผู้จะตรัสรู้ด้วยอำนาจพระดำรัสว่า
สหชาตะ. ก็ในวาระทั้งสองนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบปัจจัยทั้งหลายโดยเฉพาะ
และปัจจยุบบันธรรม ด้วยอำนาจรูปธรรม และอรูปธรรม. ก็แลปัจจัย
และปัจจยุบบันธรรมเหล่านั้น ได้เฉพาะที่เกิดพร้อมกันเท่านั้น ที่เกิดก่อน
หรือเกิดภายหลังย่อมไม่ได้.
วาระที่ตรัสด้วยอำนาจพระดำรัสว่า ปจฺจยา อย่างนี้ว่า กุสลํ ธมฺมํ
ปจฺจยา กุสโล ธมฺโม ชื่อว่า ปัจจยวาระ แม้ปัจจยวาระนั้น ผู้ศึกษา
พึงทราบด้วยอำนาจแห่งรูปธรรมและอรูปธรรม เหมือนสองวาระก่อน.
อนึ่ง แม้ปุเรชาตปัจจัยก็ย่อมได้ในอธิการนี้. นี้เป็นความแปลกกันแห่ง
ปัจจยวาระกับสองวาระก่อน.

วาระต่อจากนั้น ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยอำนาจพระดำรัส
ว่า นิสฺสาย อย่างนี้ว่า กุสลํ ธมฺมํ นิสฺสาย กุสโล ธมฺโม ชื่อว่า
นิสสยวาระ. นิสสยวาระนั้นโดยใจความไม่ต่างจากปัจจยวาระที่กล่าวมา
ก่อน แต่ว่าวาระที่หนึ่งตรัสด้วยอำนาจสัตว์ ผู้จะตรัสรู้ ด้วยอำนาจพระ-
ดำรัสว่า ปัจจยะ ที่สองตรัสด้วยอำนาจสัตว์ผู้จะตรัสรู้ ด้วยอำนาจพระ-
ดำรัสว่า นิสสยะ.
ต่อจากนั้น ที่ตรัสด้วยอำนาจพระดำรัสว่า สํสฏฺโฐ อย่างนี้ว่า
กุสลํ ธมฺมํ สํสฏโฐ กุสโล ธมฺโม ชื่อว่า สังสัฏฐวาระ.
วาระที่ตรัสด้วยอำนาจพระดำรัสว่า สมฺปยุตฺโต อย่างนี้ว่า กุสลํ
ธมฺมํ
สมฺปยุตฺโต กุสโล ธมฺโม ชื่อว่า สัมปยุตตวาระ. สัมปยุตตวาระ
นั้น โดยเนื้อความไม่ต่างจากสังสัฏฐวาระ วาระที่หนึ่ง ตรัสด้วยอำนาจ
เวไนยสัตว์ผู้จะตรัสรู้ด้วยอำนาจพระดำรัสว่า สังสัฏฐะ วาระที่สองตรัส
ด้วยพระดำรัสว่า สัมปยุตตะ. ก็ในสองวาระนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบปัจจัยและ
ปัจจยุบบันธรรม ด้วยอำนาจแห่งอรูปธรรมเท่านั้น.
ส่วนใน วาระที่ 7 เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปัญหานั้นขึ้น
โดยนัยเป็นต้นว่า กุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่กุศลธรรมด้วยเหตุปัจจัย แล้ว
ทรงจำแนกปัญหาเหล่านั้นทั้งหมดไม่ให้สับสน ไม่ให้คลุมเครืออีกโดยนัย
เป็นต้นว่า กุศลเหตุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุต ด้วยเหตุปัจจัย ฉะนั้น
วาระนั้นจึงชื่อว่า ปัญหาวาระ เพราะทรงจำแนกปัญหาทั้งหลายไว้ดีแล้ว.
ก็ในอธิการนี้ พึงทราบปัจจัย และปัจจยุบบัน ด้วยอำนาจแห่งรูปธรรม
และอรูปธรรม.

บรรดาวาระเหล่านั้น วาระที่หนึ่งที่ชื่อว่า ปฏิจจวาระนั้นใด วาระ
นั้นก็มีสองอย่างคือ โดยอุทเทสและนิทเทส. ในสองอย่างนั้น อุทเทสวาระ
ที่หนึ่งเรียกว่า ปุจฉาวาระ บ้าง.
แม้คำว่าปัณณัตติวาระก็เป็นชื่อแห่งอุทเทสวาระนั้นเอง. จริงอยู่
วาระนั้นชื่อว่า อุทเทสวาระ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยกุศล
เป็นต้น แล้วยกกุศลเป็นต้นนั้นแสดงด้วยอำนาจแห่งเหตุปัจจัยเป็นต้น.
ชื่อว่า ปุจฉาวาระ เพราะทรงอาศัยกุศลเป็นต้น ตรัสถามถึงการเกิดขึ้น
แห่งกุศลเป็นต้น ด้วยอำนาจเหตุปัจจัยเป็นต้น. แม้วาระนั้น ก็ตรัสว่า
ปัณณัตติวาระ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยกุศลเป็นต้น แล้วให้
ทราบถึงการเกิดขึ้นแห่งกุศลเป็นต้น ด้วยอำนาจเหตุปัจจัยเป็นต้น. ใน
ข้อนั้นมีปริกัปปปุจฉาว่า กุศลธรรมพึงอาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุ
ปัจจัยหรือ ?
ก็ในปริกัปปปุจฉานี้ มีใจความดังนี้ กุศลธรรมใดพึงเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย กุศลธรรมนั้นต้องอาศัยกุศลธรรมหรือ. อีกอย่างหนึ่งในอธิการ
นี้มีใจความดังนี้ว่า กุศลธรรมใด พึงอาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้น กุศลธรรม
นั้นพึงมีเพราะเหตุปัจจัยหรือ ?
ศัพท์ว่า ปฏิ ในคำว่า ปฏิจฺจ เป็นไปในอรรถว่า เหมือนกัน เช่น
บุคคลเหมือนกัน เรียกว่าปฏิบุคคล ส่วนเท่ากัน เรียกว่า ปฏิภาค. คำว่า
อิจฺจ นั่นกล่าวถึงความขวนขวายในการไป. ครั้นพูดรวมกันทั้งสองศัพท์
จึงมีอธิบายว่า บทว่า ปฏิจฺจ ความว่า เป็นไปเท่าเทียมกัน คือดำเนินไป
โดยความเป็นธรรมที่ทัดเทียมกัน กล่าวคือ เกิดขึ้นพร้อมกัน อธิบายว่า
เข้าถึงภาวะ คือการเกิดขึ้นพร้อมกับปัจจัยนั้น. สองบทว่า กุสโล ธมฺโม

พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสถามว่า กุศลธรรมพึงอาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัยโดยภาวะคือการเกิดขึ้นพร้อมกัน อย่างนั้นหรือ.
อีกนัยหนึ่ง บทว่า ปฏิจฺจ ความว่า ทำให้เป็นปัจจัย. ก็การทำให้
เป็นปัจจัยนั้น ย่อมได้ทั้งในปุเรชาตปัจจัยและสหชาตปัจจัย ในที่นี้
ประสงค์เอาสหชาตปัจจัย. แม้ในคำว่า สิยา กุสลํ ธมฺมํ ปฏิจฺจ อกุศสโล
ธมฺโม
เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. ในคำว่า สิยา กุสลํ ธมฺมํ ปฏิจฺจ
อกุสโล ธมฺโม
เป็นต้นนั้น อกุศลธรรมอาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้น ด้วย
อำนาจสหชาตปัจจัยไม่มีก็จริง. แต่ปัจจัยใดที่พระองค์วิสัชนาอยู่ ย่อมได้
โดยเนื้อความและไม่ได้โดยเนื้อความในปุจฉาวาระนี้ ปัจจัยนั้นทั้งหมด
พระองค์ทรงยกขึ้นด้วยอำนาจปุจฉา. ส่วนในการวิสัชนาข้างหน้า ปัจจัย
ใดที่ไม่ได้วิสัชนา ทรงละปัจจัยนั้นเสีย ปัจจัยใดได้วิสัชนา ทรงวิสัชนา
เฉพาะปัจจัยนั้นเท่านั้น. ผู้ศึกษาครั้นทราบอรรถแห่งปุจฉาและแนวทาง
แห่งปุจฉาในอธิการนี้ ดังกล่าวมาแล้ว บัดนี้พึงทราบการกำหนดปุจฉา
ด้วยอำนาจการคำนวณต่อไป.
ก็ในคำว่า กสลํ ธมฺมํ ปฏิจฺจ นี้ ปุจฉามี 3 คือ ที่มีกุศลบท เป็น
บทต้น มีกุศล อกุศล และอัพยากตะเป็นอวสานบท ปุจฉาอีก 3 คือ
มีกุศลบทนั้นแหละเป็นบทต้น มีการจำแนกโดยทุกะ ด้วยสามารถแห่ง
กุศลและอัพยากตะเป็นต้น เป็นอวสานบท ปุจฉาอีก 1 คือ มีกุศลบท
นั้นนั่นแหละเป็นบทต้น มีติกะเป็นอวสานบท. ปุจฉา 7 ที่มีกุศลบทเป็น
บทต้น ในคำว่า กุสลํ ธมฺมํ ปฏิจฺจ ดังนี้ ย่อมมีโดยประการอย่างนี้.
ปุจฉาที่มีอกุศลบทเป็นบทต้น มีอัพยากตบทเป็นบทต้น มีกุสลาพยากต-
บทเป็นบทต้น มีอกุสลาพยากตบทเป็นบทต้น มีกุสลากุศลบทเป็นบทต้น

มีกุสลากุสลาพยากตะเป็นบทต้น ก็เหมือนกัน. ปุจฉาแม้ทั้งหมดในเหตุ
ปัจจัยมี 49 ข้อ อาศัยกุศลติกะ ด้วยอำนาจบทต้น (คือกุศลบทเป็นต้น)
7 บท ๆ ละ 7 ปุจฉา ในอธิการนี้พึงทราบปุจฉาเหล่านั้น แม้ด้วย
สามารถแห่งมูลและอวสานอย่างนี้ คือ ปุจฉา 9 มีมูลบท. มีอวสาน-
บท 1. ปุจฉา 9 มีมูลบท 2 มีอวสานบท 2. ปุจฉา 3 มีมูลบท 1
มีอวสานบท 3, ปุจฉา 9 มีมูลบท 2 มีอวสานบท 1, ปุจฉา 9 มีมูล-
บท 2 มีอวสานบท 2, ปุจฉา 3 มีมูลบท 2 มีอวสานบท 3, ปุจฉา
3 มีมูลบท 3 มีอวสานบท 1, ปุจฉา 3 มีมูลบท 3 มีอวสานบท 2,
ปุจฉา 1 มีมูลบท 3 มีอวสานบท 3. แม้ในอารัมมณปัจจัย เป็นต้น ก็มี
ปุจฉา 49 ข้อ เหมือนในเหตุปัจจัยนั้นนั่นแหละ. ในปัจจัย 24 ปัจจัย
แม้ทั้งหมด.
ในนัยที่มีมูลบท 1 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ประมวลปุจฉาไว้รวม 1,136 ข้อ

ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่ม นัยที่มีมูลสอง ว่า เหตุ-
ปจฺจยา อารมฺมณปจฺจยา
เป็นต้น. ในนัยที่มีมูลสองนั้น มีทุกะ 23 ทุกะ
พร้อมกับเหตุปัจจัย คือ เหตรัมมณทุกะ ฯ ล ฯ เหตาวิคตทุกะ. แม้
ในเหตารัมมณทุกะ ก็มีปุจฉา 49 ข้อ เหมือนเหตุปัจจัย. บรรดาปุจฉา
เหล่านั้นทรงแสดงไว้ในบาลีสองข้อเท่านั้น. แม้ในเหตาธิปติทุกะ เป็นต้น
ก็มีปุจฉา 49 ข้อ เหมือนในเหตารัมมณทุกะ. บรรดาทุกะเหล่านั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงทุกะ 3 ทุกะตามลำดับ คือ เหตาธิปติ-
ทุกะ เหตานันตรทุกะ เหตุสมนันตรทุกะ ด้วยอำนาจแห่งปุจฉาที่หนึ่ง

แล้ว ทรงแสดงเหตาวิคตทุกะเป็นที่สุด คำที่เหลือทรงย่อไว้. ก็ผู้ศึกษา
พึงทราบการกำหนดปุจฉาในอธิการนี้อย่างนี้ คือ
ในทุกมูลกนัย ในเพราะทุกะ 23 ทุกะ จึงมีปุจฉา
1,127 ข้อ

ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่ม ติมูลกนัย ว่า เหตุปจฺจยา
อารมฺมณปจฺจยา อธิปติปจฺจยา
เป็นต้น. ในติมูลกนัยนั้น มีติกะ 22
ติกะ ด้วยอำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในปัจจัย 22 มีอธิปติปัจจัย
เป็นต้น กับเหตารัมมณทุกะ. บรรดาติกะเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นทรงแสดงติกะที่ 1 และติกะที่ 2 ด้วยอำนาจแห่งปุจฉาที่หนึ่งแล้ว
จึงทรงแสดงติกะในที่สุด. คำที่เหลือทรงย่อไว้ในทุกะ ฉันใด แม้ในติกะ
ก็ฉันนั้น ทรงจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในติกะหนึ่ง ๆ.
ในติมูลกนัย ในติกะ 22 ทั้งหมด จึงมีปุจฉา
1,078 ข้อ โดยจำนวน.

ต่อจากนั้นทรงเริ่ม นัยที่มีมูล 4 ว่า เหตุปจฺจยา อารมฺมณ-
ปจฺจยา อธิปติปจฺจยา อนนฺตรปจฺจยา
เป็นต้น ในนัยที่มีมูล 4 นั้น
มีจตุกกะ 21 หมวด ด้วยอำนาจการเชื่อมปัจจัย 1 กับปัจจัย 1 ใน
บรรดาปัจจัย 2 มีอนันตรปัจจัยเป็นต้น กับติกะที่หนึ่ง. บรรดาจตุกกะ
เหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง 2 จตุกกะแล้ว ย่อจตุกกะที่เหลือ
ไว้. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในจตุกกะหนึ่ง ๆ แม้ในอธิการนี้.
ในจตุมูลกนัย ในจตุกกะ 21 ทั้งหมด จึงมี
ปุจฉา 1,029 ข้อ โดยการคำนวณ.

ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเทศนาเริ่มแต่ ปัญจมูลกนัย
เป็นต้น จนถึง สัพพมูลกนัย. นัยที่ทรงย่อไว้ที่ตรัสแล้วในหนหลัง และ
จะพึงตรัสต่อไปข้างหน้าทั้งหมดนั้น ทรงกระทำให้เป็นแบบเดียวกัน แล้ว
แสดงไว้ในบาลีว่า เอกมูลกนัย ทุมูลกนัย ติมูลกนัย จตุมูลกนัย
ปัญจมูลกนัย สัพพมูลกนัย อันผู้ไม่งมงาย พึงให้พิสดาร. ในเอกมูลกนัย
เป็นต้นนั้น คำที่ควรกล่าวข้าพเจ้าได้กล่าวไว้เรียบร้อยแล้ว. ส่วนใน
ปัญจมูลกนัย มีปัจจัยหมวดละ 5 รวมปัญจกะ 20 หมวดถ้วน ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในปัจจัย 20 ถ้วน มีสมนันตรปัจจัยเป็นต้น
กับจตุกกะก่อน (คือที่กล่าวมาก่อน 4 ปัจจัยในจตุมูลกนัย) เพราะจัด
ปุจฉา 49 ข้อ เข้าในปัญจกะหนึ่ง ๆ ในปัญจกะเหล่านั้น
ในปัญจมูลกนัย จึงมีปุจฉา 890 ข้อ โดยการ
คำนวณ.

ใน ฉมูลกนัย มีปัจจัยหมวดละ 6 รวม 19 หมวด ด้วยอำนาจ
การเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 19 มีสหชาตปัจจัย เป็นต้น
กับปัญจกะก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในปัจจัยหนึ่ง ๆ ในฉักกะ
เหล่านั้น
ในฉมูลกนัย จึงมีปุจฉา 931 ข้อ โดยการ
คำนวณ.

ใน สัตตมูลกนัย มีปัจจัยหมวดละ 7 รวม 18 หมวด ด้วยอำนาจ
การเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 18 มีอัญญมัญญปัจจัย เป็นต้น
กับฉักกะก่อน เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในสัตตกะหนึ่ง ๆ ในบรรดา
สัตตกะเหล่านั้น

ในสัตตมูลกนัย จึงมีปุจฉา 882 ข้อ โดยการ
คำนวณ.

ใน อัฏฐมูลกนัย มีปัจจัยหมวดละ 8 รวม 17 หมวด ด้วยอำนาจ
การเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 17 มีนิสสยปัจจัย เป็นต้น กับ
สัตตกะก่อน เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในอัฏฐกะหนึ่ง ๆ ในบรรดา
อัฏฐกะเหล่านั้น
ในอัฏฐมูลกนัย จึงมีปุจฉา 833 ข้อ โดยการ
คํานวณ.

ใน นวมูลกนัย มีปัจจัยหมวดละ 9 รวม 16 หมวด ด้วยอำนาจ
การเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 16 มีอุปนิสสยปัจจัย เป็นต้น
กับอัฏฐกะก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในนวกะหนึ่งๆ ในบรรดา
นวกะเหล่านั้น
ในนวมูลกนัย จึงมีปุจฉา 784 ข้อ โดยการ
คำนวณ.

ใน ทสมูลกนัย มีปัจจัยหมวดละ 10 รวม 15 หมวด ด้วยอำนาจ
การเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 15 มีปุเรชาตปัจจัย เป็นต้น
กับนวกะก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในทสกะหนึ่งๆ ในบรรดา
ทสกะนั้น ๆ
ในทสมูลกนัย จึงมีปุจฉา 735 ข้อ โดยการ
คํานวณ.

ใน เอกาทสมูลกนัย มีปัจจัยหมวดละ 11 รวม 14 หมวด ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 14 มีปัจฉาชาตปัจจัย

เป็นต้น กับทสกะก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในหมวดหนึ่ง ๆ
ในบรรดาเอกาทสกะเหล่านั้น
ในนัยที่มีมูล 11 จึงมีปุจฉา 686 ข้อ.
ใน นัยที่มีมูล 12 มีปัจจัยหมวดละ 12 รวม 13 หมวด ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่งๆ ในบรรดาปัจจัย 13 มีอาเสวนปัจจัย เป็นต้น
กับเอกาทสกะก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในหมวดหนึ่ง ๆ ใน
บรรดาทวาทสกะเหล่านั้น
ในนัยที่มีมูล 12 จึงมีปุจฉา 699 ข้อ โดยการ
คำนวณ.

ใน นัยที่มีมูล 13 มีปัจจัยหมวดละ 13 รวม 12 หมวด ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 12 มีกัมมปัจจัย เป็นต้น
กะบทวาทสกะก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในหมวดหนึ่ง ๆ
ในบรรดาเตรสกะเหล่านั้น
ในนัยที่มีมูล 13 จึงมีปุจฉา 588 ข้อ โดยการ
คำนวณ.

ใน นัยที่มีมูล 14 มีปัจจัยหมวดละ 14 รวม 11 หมวด ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 11 มีวิปากปัจจัย เป็นต้น
กับเตรสกะก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในหมวดหนึ่ง ๆ ใน
บรรดาจุททสกะเหล่านั้น
ในนัยที่มีมูล 14 จึงมีปุจฉา 539 ข้อ โดยการ
คำนวณ.

ใน นัยที่มีมูล 15 มีปัจจัยหมวดละ 15 รวม 10 หมวด ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 10 มีอาหารปัจจัย เป็นต้น
ดับจุททสกะก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในหมวดหนึ่ง ๆ ใน
บรรดาปัจจัยหมวด 15 เหล่านั้น
ในนัยที่มีมูล 15 จึงมีปุจฉา 490 ข้อ โดยการ
คำนวณ.

ใน นัยที่มีมูล 16 มีปัจจัยหมวดละ 16 มรรค ด้วยอำนาจ
การเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 9 มีอินทริยปัจจัย เป็นต้น กับ
หมวด 15 ก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในพวกหนึ่ง ๆ ใน
บรรดาปัจจัยหมวด 16 เหล่านั้น
ในนัยที่มีมูล 16 จึงมีปุจฉา 441 ข้อโดยการ
คำนวณ.

ใน นัยที่มีมูล 17 มีปัจจัยหมวดละ 17 รวม 8 หมวด ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 8 มีฌานปัจจัย เป็นต้น
กับหมวด 16 ก่อน. เพราะปุจฉา 49 ข้อ เข้าในหมวดหนึ่ง ๆ ใน
บรรดาปัจจัยหมวด 17 เหล่านั้น
ในนัยที่มีมูล 17 จึงมีปุจฉา 392 ข้อ โดยการ
คำนวณ.

ใน นัยที่มีมูล 18 มีปัจจัยหมวดละ 18 รวม 7 หมวด ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 7 มีมัคคปัจจัย เป็นต้น
กับปัจจัยหมวด 17 ก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในหมวดหนึ่ง ๆ
ในบรรดาปัจจัยหมวด 18 เหล่านั้น

ในนัยที่มีมูล 18 จึงมีปุจฉา 343 ข้อ โดยการ
คำนวณ.

ใน นัยที่มีมูล 19 มีปัจจัยหมวดละ 19 รวม 6 หมวด ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่งๆ ในบรรดาปัจจัย 6 มีสัมปยุต ปัจจัย เป็นต้น
กับปัจจัยหมวด 18 ก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในหมวดหนึ่ง ๆ
ในบรรดาปัจจัยหมวด 19 เหล่านั้น
ในนัยที่มีมูล 19 จึงมีปุจฉา 294 ข้อ โดยการ
คำนวณ.

ใน นัยที่มีมูล 20 มีปัจจัยหมวดละ 20 รวม 5 หมวด ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่งๆ ในบรรดาปัจจัย 5 มีวิปปยุตตปัจจัย เป็นต้น
กับปัจจัยหมวด 19 ก่อน. เพราะจัดปุจฉา 19 ข้อ เข้าในหมวดหนึ่ง ๆ
ในบรรดาปัจจัยหมวด 20 เหล่านั้น
ในนัยที่มีมูล 20 จึงมีปุจฉา 245 ข้อ โดยการ
คำนวณ.

ใน นัยที่มีมูล 21 มีปัจจัยหมวดละ 21 รวม 4 หมวด ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย มีอัตถิปัจจัย เป็นต้น
กับหมวด 20 ก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในหมวดหนึ่ง ๆ ใน
บรรดาปัจจัยหมวด 21 เหล่านั้น
ในนัยที่มีมูล 21 ผู้รู้ลักษณะ จึงนับประมวล
ปุจฉาได้ 196 ข้อ.

ใน นัยที่มีมูล 22 มีปัจจัยหมวดละ 22 รวม 3 หมวด ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่ง ๆ บรรดาปัจจัย 3 มีนัตถิปัจจัย เป็นต้น กับ

หมวด 21 ก่อน. เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในหมวดหนึ่ง ๆ ใน
บรรดาหมวด 22 เหล่านั้น
ในนัยที่มีมูล 22 จึงมีปุจฉา 147 ข้อ โดยการ
คํานวณ.

ใน นัยที่มีมูล 23 มีปัจจัยหมวดที่ 23 รวม 2 หมวด ด้วย
อำนาจการเชื่อมปัจจัยหนึ่งๆ บรรดาวิคตาวิคตาปัจจัยทั้งสอง กับหมวด 22
ก่อน บรรดาวิคตปัจจัยและอวิคตปัจจัยทั้งสอง กับหมวด 22 ก่อน.
เพราะจัดปุจฉา 49 ข้อ เข้าในหมวดหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัยหมวด 23
เหล่านั้น
ในนัยที่มีมูล 23 อันเป็นคำรบที่ 23 นี้ จึงมี
ปุจฉา 98 ข้อ โดยการคำนวณ.

ส่วน นัยที่มีมูล 24 ผู้ศึกษาพึงทราบด้วยอำนาจการประชุมแห่ง
ปัจจัยทั้งหมด เพราะเหตุนั้นแหละพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า มีปัจจัย
ทั้งหมดเป็นมูล. ในนัยที่มีมูล 24 นั้น มีปุจฉา 49 ข้อเท่านั้น ฉะนี้.
ปุจฉานั้นทั้งหมด พระศาสดาทรงถือเอาเฉพาะบทว่า เหตุปัจจัยเท่านั้น
จำแนกโดยพิสดารยิ่งในเทพบริษัท ด้วยอำนาจแห่งนัยที่มีมูลหนึ่ง เป็นต้น
จบลงด้วยนัยที่มีปัจจัยทั้งหมดเป็นมูล. ในอธิการนี้ทรงแสดงปุจฉาไว้โดย
ย่อ. ก็ประมวลการนับปุจฉาเหล่านั้นทั้งหมด ดังนี้.
จริงอยู่ ในนัยที่มีมูลหนึ่ง ปุจฉามาแล้ว 1,176 ข้อ บรรดา
ปุจฉาเหล่านั้น ในนัยแห่งเหตุปัจจัย ผู้ศึกษาพึงแต่งปุจฉา 49 ข้อ กับ
ด้วยปัจจัยที่เป็นมูลนั่นเอง แม้พึงถือเอาในที่มีเหตุปัจจัยเป็นมูลนี้.
ปุจฉาที่เหลือผู้ศึกษาพึงใส่ในนัยที่มีปัจจัยที่เหลือเป็นมูล. ในนัยที่มีมูลสอง

มีปุจฉา 1,127 ข้อ ที่มีมูล 3 มี 1,078 ข้อ ที่มีมูล 4 มี 1,029 ข้อ
ที่มีมูล 5 มี 980 ข้อ ที่มีมูล 6 มี 931 ข้อ ที่มีมูล 7 มี 882 ข้อ
ที่มีมูล มี 833 ข้อ ที่มีมูล 9 มี 784 ข้อ ที่มีมูล 10 มี 735 ข้อ
ที่มีมูล 11 มี 686 ข้อ ที่มี่มูล 12 มี 637 ข้อ ที่มีมูล 13 มี 588
ข้อ ที่มีมูล 14 มี 539 ข้อ ที่มีมูล 15 มี 490 ข้อ ที่มีมูล 16 มี
441 ข้อ ที่มีมูล 17 มี 392 ข้อ ที่มีมูล 18 มี 343 ข้อ ที่มีมูล 19
มี 294 ข้อ ที่มีมูล 20 มี 245 ข้อ ที่มีมูล 21 มี 196 ข้อ ที่มีมูล
22 มี 147 ข้อ ที่มี 23 มี 98 ข้อ ที่มีปัจจัยทั้งหมดเป็นมูลมี 49
ข้อ ในนัยที่มีมูลหนึ่งเป็นต้น ซึ่งจำแนกออกไปโดยกเหตุบทขึ้นต้น
ดังกล่าวมาแล้ว.
เฉพาะเหตุบทเท่านั้น ว่าโดยประเภทแห่งมูล
หนึ่งเป็นต้น จึงมีปุจฉา 14,700 ข้อ แล.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงประเภทแห่งปุจฉาตั้งแต่นัยที่มี
มูลหนึ่ง จนถึงนัยที่มีปัจจัยทั้งหมดเป็นมูล โดยกเหตุปัจจัยขึ้นต้นดังกล่าว
มาแล้ว บัดนี้ เพื่อจะยกอารัมมณปัจจัยขึ้นแสดงเป็นต้น จึงตรัสคำว่า
กุศลธรรมพึงอาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย เพราะเหตุ-
ปัจจัยหรือ ? เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงนัยที่มีมูลหนึ่ง
ซึ่งมีอารัมมณปัจจัย เป็นต้น มีเหตุปัจจัยเป็นที่สุด ด้วยคำมีประมาณเท่านี้
ว่า อารมฺมณปจฺจยา เหตุปจฺจยา. ต่อจากนั้น ทรงเริ่มนัยที่มีมูลสองว่า
อารมฺมณปจฺจยา อธิปติปจฺจยา ดังนี้. ในนัยที่มีมูลสองนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงทุกะที่หนึ่งนี้ และอารัมมณาวิคตทุกะแล้ว ทรง

ย่อคำที่เหลือไว้. ทุกะที่สุดท้ายนี้ว่า อารมฺมณปจฺจยา เหตุปจฺจยา ดังนี้
ไม่ทรงแสดง. ก็ถ้าทุกะที่สุดนั้น ปรากฏในตอนไหน ผู้ศึกษาพึงถือเอา
ตอนนั้นเอง. ต่อจากนั้น เพื่อจะไม่แสดงติมูลกนัยเป็นต้น ด้วยอำนาจ
อารัมมณปัจจัย แล้วแสดงปัจจัยหนึ่ง ๆ เป็นต้น โดยยกอธิปติปัจจัย
เป็นต้น จึงตรัสคำมีประมาณเท่านี้ว่า อธิปติปจฺจยา อนนฺตรปจฺจยา
สมนนฺตรปจฺจยา สหชาตปจฺจยา อญฺญมญฺญปจฺจยา.
คำนั้นผู้ศึกษา
พึงทราบด้วยอำนาจนัยที่มีมูลหนึ่ง หรือที่มีปัจจัยทั้งหมดเป็นมูล.
ต่อจากนั้น เพื่อจะทรงแสดงเฉพาะทุมูลนัยเท่านั้น โดยยกอวิคต.
ปัจจัยขึ้นต้น จึงเริ่มคำว่า อวิคตปจฺจยา เหตุปจฺจยา เป็นต้น. ใน
ทุมูลกนัยนั้น ครั้นตรัสทุกะ 3 ตามลำดับคือ อวิคตเหตุทุกะ อวิคตารัมมณ-
ทุกะ. อวิคตาธิปติทุกะ
แล้วจึงทรงแสดงทุกะหนึ่งคือ อวิคตวิคตทุกะ
ในที่สุด.
ลำดับนั้น เพื่อจะทรงแสดงนัยที่มีมูล 3 ด้วยอำนาจอวิคตปัจจัย
ครั้นตรัสติกะ 3 ตามลำดับอย่างนี้ คือ อวิคตปจฺจยา เหตุปจฺจยา
อารมฺมณปจฺจยา อวิคตปจฺจยา เหตุปจฺจยา อธิปติปจฺจยา, อวิคต-
ปจฺจยา เหตุปจฺจยา อนนฺตรปจฺจยา
แล้วจึงตรัสติกะสุดท้ายว่า อวิคต-
ปจฺจยา เหตุปจฺจยา วิคตปจฺจยา.

ลำดับนั้น เพื่อจะทรงแสดงนัยที่มีมูล 4 ด้วยอำนาจอวิคตปัจจัยนั้น
เอง ครั้นตรัสหมวด 4 สองหมวด คือ อวิคตปจฺจยา เหตุปจฺจยา
อารมฺมณปจฺจยา อธิปติปจฺจยา, อวิคตปจฺจยา เหตุปจฺจยา อารมฺมณ-
ปจฺจยา อนนฺตรปจฺจยา
แล้วทรงยกบทว่า วิคตปจฺจยา มาตั้งไว้.
คำที่เหลือทั้งปวงทรงย่อไว้. เพื่อจะทรงแสดงว่าคำทั้งหมดนั้นทรงย่อไว้

จึงตรัสว่า เอกมูลกนัย ทุมูลกนัย ติมูลกนัย จตุมูลกนัย สัพพมูลกนัย
แห่งบทหนึ่ง ๆ อันผู้ศึกษาที่ไม่งมงายพึ่งขยายให้พิสดาร.
เพราะฉะนั้น ในเอกมูลกนัย มีปุจฉา 1,176 ข้อ ฯ ล ฯ ใน
สัพพมูลกนัยมีปุจฉา 49 ข้อ ด้วยอำนาจแห่งบทว่า เหตุ เป็นต้น โดยยก
เหตุปัจจัยขึ้นต้น ฉันใด ในเอกมูลกนัยแห่งบทหนึ่ง ๆ ก็มีปุจฉา 1,176
ข้อ ในสัพพมูลกนัยมีปุจฉา 49 ข้อ ด้วยอำนาจแห่งบทว่า อารมณ์
เป็นต้น โดยยกปัจจัยหนึ่ง ๆ มีอารัมมณปัจจัยเป็นต้นขึ้นต้น ฉันนั้น
ในการจำแนกที่หนึ่ง ๆ โดยเอกมูลกนัยเป็นต้น จึงมีปุจฉา 14,700
ข้อ ดังกล่าวมาแล้ว. การกำหนดการคำนวณปุจฉาเหล่านั้น ในปัจจัย
24 ทั้งหมดมีดังนี้ คือ
ในอนุโลมนัย ทรงจำแนกปุจฉาแห่งกุศลติกะไว้
352,800 ข้อ

กุศลติกะ ฉันใด เวทนาติกะเป็นต้น ก็ฉันนั้น. ในติกะ 22 ติกะ
ทั้งหมด ว่า โดยการจำแนกประเภทแห่งติกะแล้ว มีปุจฉา 7,761,600
ข้อ
ท้องเรื่อง (พลความ) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงย่อไว้.
ในบรรดาทุกะทั้งหลาย พระบาลีว่า "สิยา เหตุํ ธมฺมํ ปฏิจฺจ
เหตุํ ธมฺโม อุปฺปชฺเชยฺย เหตุปจฺจยา
= ธรรมที่เป็นเหตุพึงอาศัยธรรม
ที่เป็นเหตุเกิดขึ้นหรือ " ดังนี้ ย่อมได้ปุจฉา 9 ข้อ ในปัจจัยหนึ่ง ๆ มี
เหตุปัจจัยเป็นต้น ในทุกะหนึ่ง ๆ อย่างนี้ คือ เหตุอาศัยเหตุ. นเหตุ
อาศัยเหตุ, เหตุและนเหตุอาศัยเหตุ. นเหตุอาศัยนเหตุ, เหตุอาศัยนเหตุ,
เหตุและนเหตุอาศัยนเหตุ. เหตุอาศัยเหตุและนเหตุ นเหตุอาศัยเหตุ
และนเหตุ, เหตุและนเหตุอาศัยเหตุและนเหตุ.

บรรดาปุจฉาเหล่านั้น ใน เอกมูลกนัย ยกเหตุปัจจัยขึ้นต้น มี
ปุจฉา 216 ข้อ. บรรดาปุจฉา 216 ข้อเหล่านั้น สำหรับเหตุปัจจัยอย่าง
เดียว ผู้ศึกษาพึงถือเอาปุจฉา 9 ข้อ ที่ไม่ปนกับปัจจัยอื่น. ที่เหลือท่าน
ถือเอาโดยวาระแห่งอธิบายปุจฉาเหล่านั้น.
มีกำหนดการคำนวณในวาระ 23 มีทุมูลเป็นต้น จนถึงที่มีมูล
เป็นต้นทั้งหมด โดยนำนวกะหนึ่ง ๆ ออกเสีย ดังนี้.
ใน ทุมูลกนัย บรรดาปุจฉา 216 ข้อ ที่แสดงไว้ใน เอกมูลก-
นัย
นำปุจฉาออกเสีย 9 ข้อ จึงมีปุจฉา 207 ข้อ. ต่อจากนั้นใน
ติมูลกนัย เอาออกอีก 9 ข้อ คงเหลือ 198 ข้อ เอาปุจฉาออกจากมูล
ข้างต้นทีละ 9 ข้อ ดังกล่าวมาแล้ว. ใน จตุมูลกนัย จึงมีปุจฉา 189 ข้อ.
ใน ปัญจมูลกนัย มี 180 ข้อ. ใน ฉมูลกนัย มี 171 ข้อ. ใน สัตต-
มูลกนัย
มี 162 ข้อ. ใน อัฏฐมูลกนัย มี 153 ข้อ. ใน นวมูลกนัย
มี 144 ข้อ. ใน ทสมูลกนัย มี135 ข้อ. ใน เอกาทสมูลกนัย มี 126
ข้อ. ใน ทวาทสมูลกนัย มี 117 ข้อ. ใน เตรสมูลกนัย มี 108 ข้อ.
ใน จุททสมูลกนัย มี 99 ข้อ. ใน ปัณณรสมูลกนัย มี 90 ข้อ. ใน
โสฬสมูลกนัย มี 81 ข้อ. ใน สัตตรสมูลกนัย มี 72 ข้อ. ใน
อัฏฐารสมูลกนัย มี 63 ข้อ. ใน เอกูนวีสติมูลกนัย มี 54 ข้อ. ใน
วีสมูลกนัย มี 45 ข้อ. ใน เอกูนวีสติมูลกนัย มี 36 ข้อ. ใน พาวีสติ-
มูลกนัย
มี 27 ข้อ. ใน เตวีสติมูลกนัย มี 18 ข้อ และใน สัพพมูลกนัย
มี 9 ข้อ.
เหมือนอย่างว่า ใน เอกมูลกนัย มีปุจฉา 206 ข้อ ฯ ล ฯ ใน
สัพพมูลกนัย มีปุจฉา 9 ข้อเหล่านี้ ด้วยอำนาจแห่งเหตุปัจจัย ฉันใด
ว่าด้วยอำนาจแห่งบทมีอารมณ์เป็นต้น กระทำซึ่งปัจจัยหนึ่ง ๆ มีอารัมมณ-

ปัจจัยเป็นต้นขึ้นต้น ในเอกมูลกนัยแห่งบทหนึ่ง ๆ ก็มีปุจฉา 216 ข้อ
ฯ ล ฯ ในสัพพมูลกนัยมี 9 ข้อ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นในการ
จำแนกบทหนึ่ง ๆ โดยเอกมูลกนัยเป็นต้น จึงมีปุจฉา 2,700 ข้อ มี
การกำหนดคำนวณปุจฉาเหล่านั้น ในปัจจัย 24 ทั้งหมดดังนี้ ใน
อนุโลมนัยแห่งเหตุทุกะ มีปุจฉา 64,800 ข้อ. แม้ในสเหตุทุกะ เป็นต้น
ก็เหมือนกับเหตุทุกะ.
แม้ใน 100 ทุกะทั้งหมด ท่านผู้รู้กล่าวปุจฉาไว้
ในทุกะ 100 ทุกะ 6,480,000 ข้อ.

นี่เป็นการกำหนดจำนวนปุจฉาใน ติกปัฏฐาน และ ทุกปัฏฐาน
ล้วน ๆ ก่อน.
ส่วนที่ชื่อว่า ทุกติกปัฏฐาน ใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือ
เอาติกะ 22 ผนวกเข้าในทุกะ 100 ทุกะ แสดงไว้ต่อจากนั้น ในทุกติก-
ปัฏฐานแม้นั้น ผู้ศึกษาพึงทราบกำหนดจำนวนปุจฉาที่พึงแสดงประกอบ
ติกะหนึ่ง ๆ ในบรรดาติกะ 22 เข้ากับทุกะ 100 ด้วยอำนาจแห่งนัยที่มี
มูลหนึ่งเป็นต้นทั้งหมด ตามนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในหนหลัง
อย่างนี้ว่า " กุศลธรรมที่เป็นเหตุ พึงอาศัยกุศลธรรมที่เป็นเหตุเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัยหรือ ? "

ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาทุกะ 100 ผนวกเข้าใน
ติกะ 22 แล้ว แสดงปัฏฐานชื่อว่า ติกทุกปัฏฐาน ใดไว้ แม้ในติกทุก-
ปัฏฐานนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบกำหนดจำนวนปุจฉาที่พึงแสดงประกอบ
ทุกะหนึ่ง ๆ ใน 100 ทุกะ เข้ากับติกะ 22 ด้วยอำนาจนัยที่มีมูลหนึ่ง
เป็นต้นทั้งหมด ตามนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในหนหลัง อย่างนี้

ว่า "ธรรมที่เป็นเหตุอันเป็นกุศล พึงอาศัยธรรมที่เป็นเหตุอันเป็นกุศล
เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยหรือ ?"

ต่อจากนั้น ทรงผนวกติกะทั้งหลายเข้าในติกะนั่นเอง แล้วแสดง
ปัฏฐานชื่อว่า ติกติกปัฏฐาน อันใดไว้ ในติกติกปัฏฐานแม้นั้น ผู้ศึกษา
พึงทราบการกำหนดนั้น ปุจฉาที่พึงแสดงประกอบติกะหนึ่ง ๆ บรรดา
22 ติกะ. เข้ากับติกะ 21 ที่เหลือ ด้วยอำนาจแห่งนัยที่มีมูลหนึ่งเป็นต้น
ทั้งหมด ตามนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในหนหลัง อย่างนี้ว่า
" ธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาซึ่งเป็นกุศล พึงอาศัยธรรมที่สัมปยุต
ด้วยสุขเวทนาซึ่งเป็นกุศลเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยหรือ ?"

ต่อจากนั้น ทรงผนวกทุกะเข้าในทุกะนั้นเอง แล้วแสดงปัฏฐาน
ที่ชื่อว่า ทุกทุกปัฏฐาน อันใดไว้ ในทุกทุกปัฏฐานแม้นั้น ผู้ศึกษา
พึงทราบการกำหนดการนับปุจฉาที่พึงแสดงประกอบทุกะหนึ่ง ๆ ใน 100
ทุกะ กับทุกะ 99 ที่เหลือ ด้วยอำนาจแห่งนัยที่มีมูลหนึ่งเป็นต้น ตามนัย
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในหนหลังอย่างนี้ว่า " ธรรมที่เป็นเหตุ (และ)
เป็นเหตุ พึงอาศัยธรรมที่เป็นเหตุ
(และ) มีเหตุเกิดขึ้นเพราะเหตุ
ปัจจัยหรือ ? "

จริงอยู่ พระตถาคตครั้นทรงแสดงประเภทนั้นทั้งหมดแล้ว จึงทรง
แสดงธรรมในเทพบริษัท. แต่พระธรรมเป็นเสนาบดีรวบรวมย่อไว้ว่า ธรรม
นี้ ๆ พระองค์ทรงแสดงในวันนี้ แล้วกล่าวในเทศนาโดยเพียงแสดงนัยนั้น
เท่านั้น. พลความที่กล่าวย่อไว้ พระเถระย่อให้เป็นไปแล้ว. พลความ
นั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ยกขึ้นสู่สังคหะในสังคีติกาล ตามนัยที่พระ-

เถระให้เป็นไปแล้วนั่นแหละ. ก็เพื่อจะแสดงสังเขปนัยแห่งพลความนั้น
ข้าพเจ้าจึงตั้งคาถานี้ไว้ว่า ติกญฺจ ปฏฺฐานวรํ เป็นต้น.
คาถานั้นมีใจความว่า คำว่า ติกญฺจ ปฏฺฐานวรํ แปลว่า ติกปัฏฐาน
อันประเสริฐ คืออันบวร. บทว่า ทุกุตฺตมํ แปลว่า ทุกปัฏฐานอันสูง
สุด คืออันประเสริฐสุด. บทว่า ทุกตฺติกกญฺเจว คือ ทุกติกปฏิฐาน.
บทว่า ติกทุกญฺจ คือ ติกทุกปัฏฐาน. บทว่า ติกติกกญฺเจว คือ
ติกติกปัฏฐาน. บทว่า ทุกทฺทุกญฺจ คือ ทุกทุกปัฏฐาน. คำว่า ฉ
อนุโลมฺมหิ นยา สุคมฺภีรา ความว่า ผู้ศึกษาพึงทราบนัย 6 อันลึกซึ้ง
ด้วยดี มีติกปัฏฐานเป็นต้นเหล่านี้ ในอนุโลม.
บรรดานัยเหล่านั้น อนุโลมมี 2 คือ ธัมมานุโลม และ ปัจจยา-
นุโลม
ในอนุโลมสองนี้ ปัฏฐานที่พระองค์ให้เป็นไปด้วยอำนาจเทศนา
ที่เป็นอนุโลมแก่ธรรมที่ท่านรวบรวม ด้วยบทอภิธรรมมาติกาอย่างนี้ว่า
กุศลธรรมอาศัยกุศลธรรม ชื่อว่า ธัมมานุโลม ปัฏฐานที่พระองค์ให้
เป็นไปด้วยอำนาจเทศนาที่เป็นอันโลมแก่ปัจจัย 24 อย่างนี้ว่า เหตุปจฺจยา
อารมฺมณปจฺจยา
ชื่อว่า ปัจจยานุโลม.
บรรดาคำที่เป็นคาถาเหล่านั้น คาถานี้ว่า ติกญฺจ ปฏฺฐานวรํ ฯเปฯ
ฉ อนุโลมมฺหิ นยา สุคมฺภีรา
ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาหนหลัง หมาย
ถึง ธัมมานุโลม. แต่ในอธิการนี้ คาถานี้ท่านกล่าวหมายถึง ปัจจยา-
นุโลม รัมมมานุโลมนั้น.
เพราะฉะนั้น คำว่า ฉ อนุโลมมฺหิ นยา
สุคมฺภีรา
ผู้ศึกษาพึงทราบเนื้อความในอรรถกถาอย่างนี้ว่า นัย 6 มี
ติกปัฏฐานเป็นต้น ในธัมมานุโลมลึกซึ้งยิ่ง. แต่ในโอกาสนี้ ผู้ศึกษา
พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า นัย 6 มี ติกปัฏฐาน เป็นต้น เฉพาะใน

ธัมมานุโลมในปัจจยานุโลมที่เป็นไปอย่างนี้ว่า เหตุปจฺจยา อารมฺมณ-
ปจฺจยา
ลึกซึ้งยิ่ง. บรรดานัย 6 เหล่านั้น ประเภทแห่งปุจฉานี้ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงย่อแสดงในปัณณัตติวาระนี้ แห่งปฏิจจวาระด้วยอำนาจ
กุศลติกะเท่านั้น ในติกะปัฏฐานที่เป็นอนุโลม. ส่วนในติกะ และทุกะ
ที่เหลือ และในปัฏฐานที่เหลือไม่มีปุจฉาเลยแม้แต่ข้อเดียว.
ก็ใน สหชาตวาระ เป็นต้น ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ยก
ปุจฉาขึ้นด้วยอำนาจกุศลติกะ ทรงแสดงเฉพาะวิสัชนาด้วยอำนาจวาระที่มี
ได้เท่านั้น. ก็เพราะพระบาลีว่า ฉ อนุโลมมฺหิ นยา สุคมฺภีรา. ผู้ศึกษา
พึงยกปัฏฐานนัยทั้ง 6 เหล่านี้ ขึ้นแสดงในปัจจยานุโลมนี้ ด้วยอำนาจ
แห่งปุจฉาทั้งหลาย เพราะว่านั้นเป็นภาระแห่งอาจารย์ผู้อธิบายปัฏฐาน.
บัดนี้ เพื่อจะแสดง ปัจจนียปัฏฐาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่ม
คำว่า กุศลธรรมพึงอาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้น เพราะนเหตุปัจจัยหรือ ?
ในปัจจนียปัฏฐานนั้น มีการกำหนดปุจฉา เท่ากับอนุโลมปุจฉา เพราะ
เหตุนั้นในปัจจนียปัฏฐานนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ผู้ศึกษาพึง
อธิบายเหตุปัจจัยแม้ในปัจจนียปัฏฐาน เหมือนอธิบายเหตุปัจจัยในอนุโลม-
ปัฏฐาน แล้วตรัสไว้ในที่สุดอีกว่า พึงอธิบายเอกมูลกะจนถึงเตวีสติมูลกะ
แห่งบทหนึ่ง ๆ ในปัจจนียปัฏฐาน เหมือนในอนุโลมปัฏฐาน.
ก็คำนี้ว่า เตวีสติมูลกํ ในอธิการนี้ ตรัสหมายถึงทุมูลกปัฏฐาน
เท่านั้น ส่วนสัพพมูลกนัยในที่สุด ได้แก่จตุวีสติมูลกนัยนั่นเอง. นัยนั้น
ทั้งหมดทรงย่อไว้แล.
พระบาลีนี้ว่า ติกญฺจ ปฏฺฐานวรํ ฯเปฯ ฉ ปจฺจนียมฺหิ นยา
สุคมฺภีรา
ดังนี้ได้แก่ปัจจนียะ 2 อย่างคือ ธัมมปัจจนียะ และ ปัจจย-

ปัจจนียะ. ใน 2 อย่างนั้น นัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้วด้วย
อำนาจการแสดงธรรมที่สงเคราะห์ ด้วยบทอภิธรรมมาติกาอย่างนี้ว่า
กุสลา ธมฺมา โดยแสดงเป็น ปัจจนียะ ว่า นกุสลํ ธมฺมํ ปฏิจฺจ
นกุสโล ธมฺโม
ชื่อว่า ธัมมปัจจนียะ นัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้
เป็นไปด้วยอำนาจการแสดงปัจจัย 24 ด้วยอำนาจเป็นปัจจัยอย่างนี้ว่า
นเหตุปจฺจยา นารมฺมณปจฺจยา ชื่อว่า ปัจจยปัจจนียะ. ใน 2 อย่าง
นั้น คาถานี้ว่า ติกญฺจ ปฏฺฐานวรํ ฯเปฯ ฉ ปจฺจนียมฺหิ นยา
สุคมฺภีรา
ในอรรถกถาในหนหลัง ท่านกล่าวหมายถึง ธัมมปัจจนียะ
แต่ในอธิการนี้ คาถานี้ท่านกล่าวหมายถึง ปัจจยปัจจนียะ ในธัมมานุโลม
เท่านั้น. เพราะฉะนั้น ในคาถาแห่งอรรถกถาว่า " ฉ ปจฺจนียมฺหิ นยา
สุคมฺภีรา "
ผู้ศึกษาพึงทราบใจความอย่างนี้ว่า นัย 6 มี ติกปัฏฐาน
เป็นต้นในธัมมปัจจนียะลึกซึ้งยิ่ง. แต่ในปัจจนียะที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ว่า
นเหตุปจฺจยา นอารมฺมณปจฺจยา ในโอกาสนี้ผู้ศึกษาพึงทราบเนื้อความ
อย่างนี้ว่า นัย 6 มีติกะปัฏฐานเป็นต้น เฉพาะในธัมมานุโลมเท่านั้น
ลึกซึ้ง. บรรดานัย 6 เหล่านั้น ประเภทแห่งปุจฉานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงย่อแสดงในปัณณัตติวาระนี้แห่งปฏิจจวาระ ด้วยอำนาจธรรมเพียง
กุสลติกะ ในอนุโลมติกปัฏฐานเท่านั้น แม้ในติกะและทุกะที่เหลือ และ
ในปัฏฐานที่เหลือก็ไม่มีปุจฉาแม้แต่ข้อเดียว. ก็ในสหชาตวาระเป็นต้น
ต่อจากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงยกปุจฉาขึ้นด้วยอำนาจกุสลติกะ ทรง
แสดงเฉพาะวิสัชนาด้วยอำนาจวาระที่ได้อยู่เท่านั้น. ก็เพราะพระบาลีว่า
ฉ ปจฺจนียมฺหิ นยา สุคมฺภีรา พึงยกปัฏฐานนัย 6 เหล่านี้ขึ้นแสดงใน

ปัจจยปัจจนียะนี้ ด้วยอำนาจแห่งปุจฉา เพราะว่านั่นเป็นภาระแห่งอาจารย์
ผู้อธิบายปัฏฐาน.
บัดนี้ เพื่อจะแสดง อนุโลมปัจจนียปัฏฐาน พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงเริ่มคำว่า " กุศลธรรมพึงอาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
นอารัมมณปัจจัยหรือ ? "
ในอนุโลมปัจจนียปัฏฐานนั้น ในมูลที่มีมูละ
หนึ่ง มีเหตุบทเป็นต้น มีอนุโลมปัจจนียปัฏฐาน 23 ด้วยอำนาจการ
เชื่อมเหตุบทกับปัจจัยหนึ่ง ๆ ในบรรดาปัจจัย 23 ที่เหลือว่า
เหตุปจฺจยา นอารมฺมณปจฺจยา ฯลฯ เหตุปจฺจยา โนอวิคต-
ปจฺจยา
ในอนุโลมปัจจนียปัฏฐานนั้นมีปุจฉา 1,127 ข้อ เพราะแต่ละ
บทแบ่งออกได้ 49 ข้อ. ส่วนในทุมูลกนัย ผู้ศึกษาพึงทราบการคำนวณ
ปุจฉา ด้วยอำนาจบทที่เหลือ โดยลดบทหนึ่ง ๆ ในเอกมูลกนัยเป็นต้น
ทั้งหมดที่กล่าวไว้ในอนุโลมอย่างนี้ว่า อนุโลมปัจจนียปัฏฐานมี 22 ด้วย
อำนาจการเชื่อม เหตารัมมณบท กับปัจจัยหนึ่ง ๆ กับบรรดาปัจจัย 22
ที่เหลือ.
อนึ่ง ในเอกมูลกนัยเป็นต้น ในอธิการนี้ปุจฉาใดมาแล้ว และอันใด
ไม่ได้มาในพระบาลี ปุจฉานั้นทั้งหมด ผู้ศึกษาพึงทราบตามแนวแห่งนัย
ที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในหนหลัง.
ก็ในคำนี้ว่า ติกญฺจ ปฏฺฐานวรํ ฯเปฯ ฉ อนุโลมปจฺจนียมฺหิ นยา
สุคมฺภีรา
มีอนุโลมปัจจนียปัฏฐาน 2 อย่าง คือ ธัมมานุโลมปัจจนียะ
และ ปัจจยานุโลมปัจจนียะ ตามนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นเอง. ใน
2 อย่างนั้น ปัฏฐานที่พระองค์ทรงให้เป็นไปด้วยอำนาจการแสดงธรรม
ที่สงเคราะห์ไว้ด้วยบทอภิธรรมมาติกา อย่างนี้ว่า กุสโล ธมฺโม โดย

อนุโลมปัจจนียนัยว่า กุสลํ ธมฺมํ ปฏิจฺจ นกุสโล ธมฺโม ชื่อว่า ธัมมา-
นุโลมปัจจนียปัฏฐาน
. ปัฏฐานที่พระพุทธองค์ทรงให้เป็นไปด้วยอำนาจ
การแสดงบทที่ได้ในปัจจัย 24 อย่างนี้ว่า เหตุปจฺจยา นอารมฺมณปจฺจยา
โดย อนุโลมปัจจนียนัย ชื่อว่า ปัจจยานุโลมปัจจนียปัฏฐาน. ใน 2
อย่างนั้น คาถานี้ว่า ติกญฺจ ปฏฺฐานวรํ ฯเปฯ ฉ อนุโลมปจฺจนียมฺหิ
นยา สุคมฺภีรา
ในอรรถกถาในหนหลัง ท่านกล่าวหมายถึงธัมมานุโลม-
ปัจจนียปัฏฐาน เฉพาะในธัมมานุโลมเท่านั้น เพราะฉะนั้น ในคาถา
แห่งอรรถกถาว่า ฉ อนุโลมปจฺจนียมฺหิ นยา สุคมฺภีรา พึงทราบเนื้อ
ความอย่างนี้ว่า นัย 6 มีติกะปัฏฐานเป็นต้น ในธัมมานุโลมปัจจนียนัย
ลึกซึ้งยิ่ง.
ส่วนใน ปัจจยานุโลมปัจจนียปัฏฐาน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้
เป็นไปแล้วอย่างนี้ว่า เหตุปจฺจยา นอารมฺมณปจฺจยา ในโอกาสนี้ผู้ศึกษา
พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า นัย 6 มีติกปัฏฐานเป็นต้นเหล่านี้ เฉพาะใน
ธัมมานุโลมเท่านั้นลึกซึ้งยิ่ง. บรรดานัย 6 เหล่านั้น ประเภทแห่งปุจฉานี้
พระองค์ทรงย่อไว้ในปัณณัตติวาระนี้แห่งปฏิจจวาระ ด้วยอำนาจแห่ง
ธรรมเพียงกุสลติกะเฉพาะในอนุโลมติกปัฏฐานเท่านั้น ส่วนในติกะและ
ทุกะที่เหลือแลในปัฏฐานที่เหลือ ไม่ได้แสดงปุจฉาไว้แม้เพียงข้อเดียว.
ก็ในสหชาตวาระเป็นต้น ต่อจากนั้น ไม่ทรงยกปุจฉาขึ้นด้วยอำนาจกุสล-
ติกะ ทรงแสดงเฉพาะวิสัชนา ด้วยอำนาจวาระที่ได้อยู่. ก็เพราะพระบาลี
ว่า ฉ อนุโลมปจฺจนียมฺหิ นยา สุคมฺภีรา พึงยกปัฏฐานนัย 6 เหล่านี้
ขึ้นแสดงด้วยอำนาจปุจฉา ในปัจจยานุโลมปัจจนียปัฏฐานนี้ เพราะว่านั่น
เป็นภาระแห่งอาจารย์ผู้อธิบายปัฏฐาน.

บัดนี้ เพื่อจะแสดง ปัจจนียานุโลมปัฏฐาน. พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงเริ่มคำมีอาทิว่า " กุศลธรรมพึงอาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้น เพราะ
นเหตุปัจจัยอารัมมณปัจจัยหรือ ?"
ในปัจจนียานุโลมปัฏฐานนั้น มี
กำหนดปุจฉาเท่ากับอนุโลมปัจจนียปัฏฐาน. ก็ในนัยที่มีมูละหนึ่งเป็นต้น
ในอธิการนี้ ปุจฉาใดที่มาแล้วและอันใดที่ไม่ได้มาในพระบาลี ปุจฉานั้น
ทั้งหมดผู้ศึกษาพึงทราบตามแนวแห่งนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในหนหลัง.
แม้ในคำน ว่า ติกญฺจ ปฏิฐานวรํ ฯเปฯ ฉ ปจฺจนียานุโลมมฺหิ
นยา สุคมฺภีรา
ผู้ศึกษาพึงทราบปัจจนียานุโลม 2 อย่าง คือ ธัมมปัจจ-
นียานุโลม
และ ปัจจยปัจจนียานุโลม ตามนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วใน
หนหลัง ใน 2 อย่างนั้น ปัฏฐานที่พระองค์ให้เป็นไปด้วยอำนาจการ
แสดงธรรมที่สงเคราะห์ด้วยบทอภิธรรมมาติกา อย่างนี้ว่า กุสโล ธมฺโม
ด้วยปัจจนียานุโลมว่า นกุสลํ ธมฺมํ ปฏิจฺจ กุสโล ธมฺโม ชื่อว่า
ธัมมปัจจนียานุโลมปัฏฐาน ปัฏฐานที่ให้เป็นไปด้วยอำนาจการแสดงบท
ที่ได้อยู่ในปัจจัย 2 อย่างนี้ว่า นเหตุปจฺจยา อารมฺมณปจฺจยา ด้วย
ปัจจยปัจจนียานุโลม ชื่อว่า ปัจจยปัจจนียานุโลมปัฏฐาน. ใน 2 อย่าง
นั้น คาถานี้ว่า ติกญฺจ ปฏฺฐานวรํ ฯเปฯ ฉ ปจฺจนียานุโลมมฺหิ นยา
สุคมฺภีรา
ในอรรถกถาในหนหลังท่านกล่าวหมายถึง ธัมมปัจจนียา-
นุโลมปัฏฐาน.
แต่ในอธิการนี้ คาถานี้ท่านกล่าวหมายถึง ปัจจยปัจจ-
นียานุโลมปัฏฐาน
เฉพาะในธัมมานุโลมเท่านั้น เพราะฉะนั้น ในคาถา
แห่งอรรถกถาว่า ฉ ปจฺจนียานุโลมมฺหิ นยา สุคมฺภีรา. ผู้ศึกษาพึง
ทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า นัย 6 มีติกปัฏฐานเป็นต้น ในธัมมปัจจนียา-
นุโลมลึกซึ้งยิ่ง. ส่วนใน ปัจจยปัจจนียานุโลม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้

เป็นไปแล้ว อย่างนี้ว่า นเหตุปจฺจยา อารมฺมณปจฺจยา ในโอกาสนี้
ผู้ศึกษาพึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า นัย 6 มีติกปัฏฐานเป็นต้นเหล่านี้
เฉพาะในธัมมานุโลมนั้นลึกซึ้งยิ่ง. บรรดานัย 6 เหล่านั้น ประเภทแห่ง
ปุจฉานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงย่อแสดงไว้ในปัณณัตติวาระนี้แห่งปฏิจจ-
วาระ ด้วยอำนาจธรรมเพียงกุสลติกะ เฉพาะในอนุโลมปัฏฐานเท่านั้น
แต่ในติกะและทุกะที่เหลือ และในปัฏฐานที่เหลือไม่ได้ทรงแสดงปุจฉาไว้
แม้แต่วาระเดียว. ก็ใน สหชาตวาระ เป็นต้น ต่อจากนั้น ไม่ทรงยก
ปุจฉาขึ้นด้วยอำนาจกุสลติกะ ทรงแสดงเฉพาะวิสัชนาด้วยอำนาจวาระ
ที่ได้อยู่ก็เพราะพระบาลีว่า ฉ ปจฺจนียานุโลมมฺหิ นย า สุคมฺภีรา พึง
ยกปัฏฐานนัยทั้ง 6 เหล่านี้ ขึ้นแสดงด้วยอำนาจปุจฉาในปัจจยปัจจนียา-
นุโลมปัฏฐานนี้ เพราะว่านั่นเป็นภาระของอาจารย์ผู้อธิบายปัฏฐานแล.
จบอรรถกถาปัณณัตติวาระ

ปฏิจจวารนิทเทส


ปัจจยานุโลม


[56] 1. กุศลธรรม อาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย

คือ ขันธ์ 3 อาศัยขันธ์ 1 ที่เป็นกุศลเกิดขึ้น, ขันธ์ อาศัยขันธ์
3 เกิดขึ้น, ขันธ์ 2 อาศัยขันธ์ 2 เกิดขึ้น.
2. อัพยากตธรรม อาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยกุศลขันธ์ทั้งหลายเกิดขึ้น.
3. กุศลธรรม และอัพยกตธรรม อาศัยกุศลธรรมเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย

คือ ขันธ์ 3 และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ 1 ที่เป็นกุศล
เกิดขึ้น, ขันธ์ 1 และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ 3 เกิดขึ้น, ขันธ์ 2
และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ 2 เกิดขึ้น.
4. อกุศลธรรม อาศัยอกุศลธรรมเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
คือ ขันธ์ 3 อาศัยขันธ์ 1 ที่เป็นอกุศลเกิดขึ้น, ขันธ์ 1 อาศัย
ขันธ์ 3 เกิดขึ้น, ขันธ์ 2 อาศัยขันธ์ 2 เกิดขึ้น.
5. อัพยากตธรรม อาศัยอกุศลธรรมเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยอกุศลขันธ์ทั้งหลายเกิดขึ้น.
6. อกุศลธรรม และอัพยากตธรรม อาศัยอกุศลธรรมเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย