เมนู

อรรถกถาอินทริยยมก


บัดนี้เป็นการพรรณนา อันทริยยมก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงในลำดับต่างจากธรรมยมก เพราะทรงรวบรวมธรรมทั้งหลาย
มีกุศลธรรมเป็นต้น ที่พระองค์ทรงแสดงแล้วในมูลยมกเหล่านั้นให้เป็น
ส่วนหนึ่ง ด้วยอำนาจแห่งธรรมที่ได้อยู่ ในอินทริยยมกนั้นพึงทราบ
การกำหนดพระบาลี โดยนัยที่กล่าวแล้วในขันธยมกเป็นต้น.
ก็แม้ในอินทริยยมกนี้ มหาวาระ 3 มีปัณณัตติวาระเป็นต้น
และอนันตรวาระ ที่เหลือก็เป็นเช่นกับที่มาแล้วในยมกทั้งหลายมีขันธ-
ยมกเป็นต้น พร้อมด้วยประเภทแห่งกาลเป็นต้น แต่ว่ายมกทั้งหลาย
มีมากกว่าธาตุยมกเพราะความที่แห่งอินทรีย์ทั้งหลายมีมาก ก็ท่านไม่
ประกอบ ชิวหายตนะ และกายายตนะ กับด้วย จักขวายตนะ และ
จักขุธาตุ ในนัยอันมีจักขวายตนะและจักขุธาตุเป็นมูล ในปุคคลวาระ
เป็นต้น ในหนหลัง และไม่ถือเอายมกทั้งหลาย มีชิวหายตนะและ
กายายตนะเป็นมูล ฉันใด แม้ในอินทริยยมกนี้ ท่านก็ไม่ประกอบ
ชิวหินทรีย์และกายินทรีย์ ในนัยอันมีจักขุนทรีย์เป็นมูล และไม่ถือเอา
ยมกทั้งหลายที่มีชิวหินทรีย์ และกายินทรีย์เป็นมูล ฉันนั้น พึงทราบ
เหตุในการไม่ถือเอายมกทั้งหลายเหล่านั้น ตามนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้วใน
ยมกนั้นนั่นแหละ.

ส่วน มนินทรีย์ พึงทราบว่า ท่านประกอบแล้วด้วยมูลทั้งหลาย
มีจักขุนทรีย์เป็นมูลเป็นต้น ฉันใด แม้กับมูลทั้งหลายมีอิตถินทรีย์เป็น
มูล ก็ฉันนั้นนั่นแหละ มนินทรีย์ย่อมถึงการประกอบ เพราะเหตุใด
เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่า ท่านไม่ประกอบแล้ว โดยลำดับ บทที่วางไว้
(แต่) ประกอบไว้ในที่สุดกับมูลทั้งหลายมีจักขุนทรีย์เป็นต้น แม้ทั้งหมด.
ท่านประกอบอิตถินทรีย์ กับ จักขุนทรีย์, ปุริสินทรีย์ กับ
จักขุนทรีย์, ชีวิตินทรีย์ กับ จักขุนทรีย์, สุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์ โทม-
นัสสินทรีย์ไม่มีในปฏิสนธิ เพราะเหตุนั้นท่านจึงไม่ถือเอา.
โสมนัสสินทรีย์ อุเปกขินทรีย์ ท่านถือเอาแล้วในปฏิสนธิ
เพราะเกิดมีพร้อมกับการเกิดขึ้น อินทรีย์ 5 อย่างมีสัทธินทรีย์เป็นต้น
ก็เหมือนอย่างนั้น อินทรีย์ที่เป็นโลกุตตร 3 อย่าง ท่านก็ไม่ถือเอา
เพราะไม่มีในปฏิสนธิ อินทรีย์เหล่าใดท่านถือเอาแล้วด้วยอำนาจแห่ง
อินทรีย์เหล่านั้น พึงทราบการนับยมกในนัยอันมีจักขุนทรีย์เป็นมูลใน
อินทริยยมกนี้ ด้วยประการฉะนี้ ก็ในที่นี้พึงทราบการนับยมกในนัย
อันมีจักขุนทรีย์เป็นมูลในที่นี้ฉันใด ในที่ทั้งปวง ก็ฉันนั้น พึงทราบ
การกำหนดพระบาลีในวาระทั้งหลายอย่างนี้ก่อนว่า ก็ยมกเหล่าใดที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาแล้วควรนับยมกทั้งหลายด้วยสามารถแห่ง
ยมกเหล่านั้น อีกอย่างหนึ่ง เมื่อนับ พึงนับด้วยสามารถแห่งโมฆะ
ปุจฉา.

ก็ในการวินิจฉัยเนื้อความนี้ พึงทราบนัยมุขนี้ดังต่อไปนี้.
คำว่า สจกฺขุกานํ น อตฺถีนํ ท่านกล่าวแล้วด้วยสามารถ
แห่งสัตว์ทั้งหลายที่มีรูป มีพรหมปาริสัชชาเป็นต้น และด้วยสามารถ
แห่งบุรุษเพศและผู้ไม่มีเพศ เพราะว่าอิตถินทรีย์ย่อมไม่เกิดแก่พรหม
บุรุษเพศ และผู้ไม่มีเพศเหล่านั้น.
คำว่า สจกฺขุกานํ น ปุรสานํ ท่านกล่าวแล้วด้วยสามารถ
แห่งรูปพรหมด้วย แห่งสตรีเพศและบุคคลผู้ไม่มีเพศด้วย เพราะว่า
ปุริสินทรีย์ย่อมไม่เกิดแก่รูปพรหม สตรีและผู้ไม่มีเพศเหล่านั้น.
คำว่า อจกฺขุกานํ อุปปชฺชนฺตานํ เตสํ ชีวิตินฺทริยํ อุปฺ-
ปชฺชติ
ท่านกล่าวหมายเอาสัตว์ทั้งหลายในเอกโวการภพ จตุโวการภพ
และในกามธาตุ.
คำว่า สจกฺขุกานํ วินา โสมนสฺเสน ท่านกล่าวแล้วด้วย
สามารถแห่งบุคคลผู้ปฏิสนธิด้วยมหาวิบากปฏิสนธิ 4 ที่เกิดพร้อมด้วย
อุเบกขา.
คำว่า สจกฺขุกานํ วินา อุเปกฺขาย ท่านกล่าวด้วยสามารถ
แห่งบุคคลผู้ปฏิสนธิพร้อมด้วยโสมนัส.
คำว่า อุเปกฺขาย อจกฺขุกานํ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่ง
อเหตุกปฏิสนธิ.
คำว่า อเหตุกานํ ท่านกล่าวแล้วเพราะความไม่มีแห่งอินทรีย์
ทั้งหลายมีสัทธินทรีย์เป็นต้น กับด้วยอเหตุกปฏิสนธิ.

จริงอยู่ ในอเหตุกปฏิสนธิ ย่อมไม่มีศรัทธา สติ ปัญญา แน่-
นอน แต่สมาธิและวิริยะ ย่อมไม่ถึงความเป็นอินทรีย์.
คำว่า สเหตุกานํ อจกฺขุกานํ ท่านกล่าวแล้วด้วยอำนาจ
คัพภเสยยกสัตว์ และพรหมที่ไม่มีรูป ก็พวกสเหตุกะอื่นชื่อว่า อจกฺขุ-
โก = ไม่มีจักขุ
ย่อมไม่มี.
คำว่า สจกฺขุกานํ อเหตุกานํ ท่านกล่าวหมายเอาสัตว์ใน
อบายด้วยสามารถแห่งโอปปาติกะ.
คำว่า สจกฺขุกานํ ญาณวปฺปยุตฺตานํ ท่านกล่าวหมายเอา
สัตว์ที่ปฏิสนธิด้วยเหตุสอง ในกามธาตุ.
คำว่า สจกฺขุกานํ ญาณสมฺปยุตฺตานํ กล่าวหมายเอารูป
พรหมด้วย เทวดาและมนุษย์ในกามาวจรด้วย.
คำว่า ญาณสมฺปยุตฺตานํ อจกฺขุกานํ ท่านกล่าวหมายเอา
อรูปพรหม และติเหตุกสัตว์ผู้เกิดในครรภ์.
ในชีวิตินทรีย์มูล คำว่า วินา โสมนสฺเสน อุปฺปชฺชนฺตานํ
ท่านกล่าวหมายเอาชีวิตินทรีย์แม้ทั้งสองอย่าง.
คำว่า ปวตฺเต โสมนสฺสวิปฺปยุตฺตจิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ
ท่านกล่าวหมายเอาอรูปชีวิตินทรีย์.
พึงทราบการประกอบ ชีวิตินทรีย์ด้วยสามารถปฏิสนธิ และ
ปวัตติ แม้ในที่ทั้งปวงโดยนัยนี้ แม้ในมูลทั้งหลายมีโสมนัสสินทรีย์

เป็นมูลเป็นต้น พึงถือเอาเนื้อความด้วยสามารถแห่งปฏิสนธิและปวัตติ
นั้นแหละ แต่ในปฏิโลมนัย ในนิโรธวาระ พึงทราบการเกิด การ
ไม่เกิด การดับ และการไม่ดับ ในจุติ ปฏิสนธิ และปวัตติ แม้ทั้ง 3
กาลด้วยสามารถแห่งธรรมทั้งหลายเหล่านั้นด้วย เหล่าอื่นด้วยตามที่ได้.
ใน อนาคตวาระ คำว่า เอเตเนว1 ภาเวน ดังนี้ อธิบายว่า
ด้วยการถือเอาปุริสปฏิสนธินั้นแหละ เพราะไม่ถึงซึ่งอิตถีภาวะ ใน
ลำดับด้วยปุริสภาวะนั้นนั่นแหละ.
คำวิสัชนาว่า กติจิ ภเว ทสฺเสตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสนฺติ
อธิบายว่า บุรุษใดถือเอาแล้วซึ่งปฏิสนธิในภูมิไร ๆ ไม่ถึงแล้วซึ่งอิตถี-
ภาวะ จักปรินิพพาน เทียว ( หมายความว่าเกิดในภพใดด้วยเพศใด
จักปรินิพพานด้วยเพศนั้นในภพนั้น)
แม้ในปัญหาที่สองก็นัยนี้ ก็บทว่า มนินทรีย์ด้วยไม่เคยเกิด
ในภังคขณะแห่งอุปัตติจิตของสุทธาวาสพรหม
ดังนี้ ในอตีตวาระ
ด้วยปัจจุบันวาระ ( ปัจจุปันนาตีตวาระ ) อธิบายว่า บัณฑิตไม่ถือเอา
เนื้อความด้วยอำนาจการก้าวล่วงอุปาทขณะเหมือนกับในจิตตยมก แต่
ควรถือเอาด้วยอำนาจแห่งการไม่เคยเกิดขึ้นในภพนั้น พึงทราบการ
วินิจฉัยเนื้อความในปวัตติวาระ แม้ทั้งหมดโดยนัยมุขนี้.
ก็ใน ปริญญาวาระ ท่านแสดงจักขุโสตยมกอย่างเดียวเท่านั้น
ในมูลทั้งหลายมีจักขุมูลเป็นต้น ก็เพราะท่านแสดงอินทรีย์ทั้งหลายที่
บุคคลไม่ควรกำหนดรู้ ที่เป็นโลกิยอัพยากตะด้วย ที่เจือด้วยโลกิยอัพ-
1. บาลีใช้ เอเตเนว อรรถกถาใช้ เอเกเนว

ยากตะด้วย แม้ที่เหลือ เหตุนั้นท่านจึงแสตงอินทรีย์ ที่ท่านไม่แสดง
เหล่านั้น โดยนัยนี้นั่นเทียว ก็เพราะอกุศลเป็นธรรมอันบุคคลพึงละ
โดยส่วนเดียว กุศลพึงเจริญโดยส่วนเดียว โลกุตตระอันเป็นอัพยากตะ
อันบุคคลพึงทำให้แจ้ง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมละโทม-
นัสสินทรีย์ ย่อมเจริญอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ย่อมกระทำ
ให้แจ้งซึ่งอัญญาตาวินทรีย์ ก็อัญญินทรีย์บุคคลควรเจริญก็มี ควรทำ
ให้แจ้งก็มี อัญญินทรีย์นั้นท่านถือเอาด้วยอำนาจการภาวนา (การทำ
ให้เจริญ )
ในคำทั้งหลายเหล่านั้น คำว่า เทฺว ปุคฺคลา ได้แก่ ผู้พร้อม-
เพรียงด้วยสกทาคามี และผู้พร้อมเพรียงด้วยอรหัตมรรค ในบุคคล
ทั้งสองนั้น คนหนึ่งชื่อว่า ย่อมไม่ละโทมนัสสินทรีย์ เพราะไม่สามารถ
ตัดขาดได้ คนหนึ่งชื่อว่า ย่อมไม่ละโทมนัส เพราะความที่ท่านละ
โทมนัสสินทรีย์แล้ว.
บทว่า จกฺขุนฺทฺริยํ น ปริชานาติ ได้แก่ย่อมไม่รู้ทั่ว เพราะ
ความที่แห่งท่านไม่สามารถยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นได้ บัณฑิตพึง
ทราบเนื้อความในคำวิสัชชนาทั้งปวงโดยนัยนี้.
อรรถกถาอิตทริยยมก จบ

นิคมคาถา


ก็หญิงชายผู้ใดถึงพร้อมด้วยกิจดำรงอยู่ในโอวาทของพระศาสดา
สัมมาสัมพุทธะพระองค์ใดผู้ทำกิจเสร็จแล้ว หญิงชายผู้นั้น กำหนดตั้ง
มั่นในโอวาทของพระจอมมุนีไว้ดีแล้ว ย่อมเป็นผู้ก้าวล่วงอำนาจของ
พระยายม. พระสัมมาสัมพุทธะผู้ทรงเป็นเทพยิ่งกว่าเทพทั้งปวง ผู้ไม่
มีมลทินอันจะนำไปสู่อำนาจของพระยายม เสด็จประทับอยู่ท่ามกลาง
เทวบริษัทหมู่ใหญ่ในเทวบุรี ทรงประกาศปกรณ์ชื่อว่ายมก ฉันใด
ข้าพเจ้า (พระพุทธโฆษาจารย์) ปรารภอรรถกถาแห่งปกรณ์ยมกนั้น
เพื่อแสดงวิธีกำหนดพระบาลีและนัยแห่งอรรถในคำปุจฉาวิสัชนา.
บัดนี้ อรรถกถาแห่งปกรณ์นี้นั้นถึงความสำเร็จแล้วด้วยแบบ-
แผนมีประมาณ 5 ภาณวาร โดยปราศจากอันตรายในโลกที่มีอันตราย
มากฉันใด ขอสัตว์ทั้งหลาย จงเป็นผู้มีความสำเร็จในหิตานุหิตประโยชน์
พรั่งพร้อมด้วยความสุข และขอมโนรถแม้ทั้งปวงของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
จงถึงความสำเร็จฉันนั้น เทอญ.
อรรถกถาแห่งยมก จบ