เมนู

อรรถกถามูลยมก


วรรณนาอุทเทสวาระ


ก็ปกรณ์นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจำแนกไว้แล้ว 10 อย่าง ด้วย
อำนาจของยมก 10 อย่าง คือ มูลยมก ขันธยมก อายตนยมก
ธาตุยมก สัจจยมก สังขารยมก อนุสยยมก จิตตยมก ธรรมยมก

และ อินทริยยมก พึงทราบอรรถแห่งยมก 10 อย่างเหล่านี้ของ
ปกรณ์นี้อย่างนี้
ถามว่า ชื่อว่า ยมก เพราะอรรถว่ากระไร ?
ตอบว่า เพราะอรรถว่า เป็นคู่กัน
จริงอยู่ คำว่า คู่กัน ท่านเรียกว่า ยมก เหมือนกับที่ท่าน
กล่าวไว้ว่า ยมกปาฏิหาริย์ = ปาฏิหาริย์คู่ ยมกสาลา = ไม้สาละ
คู่
เป็นต้น
ในยมกทั้ง 10 อย่างนี้ ยมกหนึ่งๆ ชื่อว่า คู่ เพราะแสดงไว้
ด้วยอำนาจของยมกทั้งหลาย คือ คู่ ด้วยประการฉะนี้ ปกรณ์นี้ทั้งหมด
พึงทราบว่า ชื่อว่า ยมก เพราะรวบรวมคู่ทั้งหลายเหล่านี้ไว้
ยมกแรกแห่งยมก 10 อย่าง เรียกว่า มูลยมก เพราะในมูล-
ยมกนั้นพระพุทธองค์ทรงกระทำการถามและตอบด้วยอำนาจแห่งมูล

มูลยมกนั้น มี 2 วาระ คือ อุทเทสวาระ และนิทเทสวาระ
ใน 2 วาระนั้น อุทเทสวาระ เป็นวาระแรกทรงยกขึ้นแล้วนำออกแสดง
ไปตามลำดับ
ยมกนี้ว่า เยเกจิ กุสลา ธมฺมา สพฺเพ เต กุสลมูลา
เย วา ปน กุสลมูลา สพฺเพ เต ธมฺมา กุสลา
เป็นยมกต้น
(คู่แรก ) ของมูลยมกนั้น
พึงทราบความเป็นคู่กัน ( ความเป็นยมก ) แห่งอุทเทสวาระนั้น
ด้วยวิธี 3 อย่าง คือ อรรถยมก ท่านแสดงด้วยอำนาจแห่งเนื้อความ
2 อย่าง คือ กุศลและอกุศลอย่างหนึ่ง ธรรมยมก ท่านแสดงด้วย
อำนาจของธรรมที่เป็นแบบแผนที่ดำเนินไปโดยอนุโลม ( ตามลำดับ )
และปฏิโลม ท่านลำดับ ของเนื้อความเหล่านั้นอย่างหนึ่ง อีกอย่าง
หนึ่ง ท่านแสดง ปุจฉายมก ด้วยอำนาจของคำถามที่ดำเนินไปโดย
อนุโลมและปฏิโลม ยมกทั้งหลายที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน
บัดนี้ พึงทราบการกำหนดพระบาลี ด้วยอำนาจแห่งประเภท
ของวาระมี นัย ยมก ปุจฉา และ อรรถ แห่งอุทเทสวาระในมูล-
ยมกนี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วด้วยยมกทั้งหลายเหล่านี้
อย่างนี้

นัย 4 อย่างเหล่านี้ คือ มูลนัย มูลมูลนัย มูลกนัย มูล-
มูลนัย
มีอยู่ เพราะอาศัยบทที่เป็นเบื้องต้นนี้ว่า กุสลา ธมฺมา
แห่งกุสลติกมาติกา
ในนัย 4 อย่างเหล่านี้ นัยหนึ่ง ๆ มียมก 3 อย่าง คือ มูลยมก
เอกมูลยมก อัญญมัญญมูลยมก
จึงเป็นยมก 12 อย่าง
ในยมกหนึ่งๆ มีปุจฉา 2 อย่างด้วยอำนาจ อนุโลม และ
ปฏิโลม จึงเป็นปุจฉา 24
ในปุจฉาหนึ่ง ๆ มีอรรถ 2 อย่างด้วยอำนาจ สันนิฏฐาน
( บทตั้ง ) และ สังสยะ ( บทถามหรือบทสงสัย ) จึงเป็นอรรถ 48
พึงทราบอรรถแห่งสันนิฏฐานในบทนี้ว่า เยเกจิ กุสลา
ธมฺมา = ธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่เป็นกุศล (มีอยู่ )
เพราะความ
ไม่มีความสงสัยในกุศลทั้งหลายว่าเป็นกุศลหรือไม่เป็นกุศล
พึงทราบอรรถแห่งสังสยะในบทนี้ว่า สพฺเพ เต กุสลมูลา =
กุศลเหล่านั้นทั้งหมดเป็นกุศลมูลหรือ
เพราะการถามด้วยอำนาจ
ความสงสัยอย่างนี้ว่า กุศลเหล่านั้นทั้งหมดเป็นกุลมูลหรือไม่เป็นกุศล
มูล ก็เนื้อความนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วเพื่อแสดงความสงสัยใน

ที่เป็นที่สงสัยของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย แต่ว่า ชื่อว่าความสงสัยย่อมไม่มี
แก่พระตถาคต ในบทปุจฉาแม้เหล่าอื่นจากบทนี้ก็มีนัยนี้เหมือนกัน
บัณฑิตพึงทราบว่า ก็บททั้งหลาย 4 แม้ทั้งปวงที่ท่านกล่าว
แล้วด้วยนัย 16 ยมก 48 ปุจฉา 96 อรรถ 192 ด้วยสามารถ
แห่งอุทเทสในกุศลติกมาติกาตากาว่า ก็นัย เหล่านี้ย่อมมีเพราะอาศัยกุศล
บท ยมก 12 ย่อมมีด้วยอำนาจแห่งยมก 3 อย่างในนัย ๆ หนึ่ง
ปุจฉา 24 ย่อมมีด้วยอำนาจปุจฉา 2 อย่างในยมกหนึ่ง ๆ อรรถ 48
ย่อมมีด้วยสามารถแห่งอรรถ 2 อย่างในปุจฉาหนึ่ง ดังนี้ฉันใด นัย 4
อย่างเหล่านี้ก็ย่อมมีเพราะอาศัยอกุศลบทบ้าง เพราะอาศัยอัพยากตบท
บ้าง เหมือนกันฉันนั้น เพราะอาศัยซึ่งบท จึงชื่อว่านำออกแสดงแล้ว
เพรากระทำบททั้ง 3 ให้เป็นอันเดียวกันบ้าง
เบื้องหน้าแต่นี้ วาระ 9 อย่าง มีวาระว่า เยเกจิ กุสลา
ธมฺมา สพฺเพ เต กุสลเหตุ = ธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นกุศล
มีอยู่ ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดเป็นกุศลเหตุหรือ
ดังนี้เป็นต้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้นแสดงแล้วด้วยอำนาจไวพจน์แห่งมูลวาระ
นั้นวาระแม้ทั้งหมด 10 วาระ คือ มูลวาระ เหตุวาระ นิทานวาระ

สัมภววาระ ปภววาระ สมุฏฐานวาระ อาหารวาระ อาลัมพณวาระ
ปัจจยวาระ สมุทยวาระ
ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
นัย 160 ยมก 480 ปุจฉา 960 อรรถ 1920 พึงทราบ
ว่าท่านยกขึ้นแสดงไว้แล้วในวาระทั้ง 10 แม้ทั้งหมดว่า พึงทราบวาระ
ทั้งหลายมีนัยเป็นต้น ในบทที่เหลือด้วยการกำหนดบทที่มาแล้วในมูล
วาระนั้น บัณฑิตพึงทราบการกำหนดพระบาลีด้วยสามารถประเภทแห่ง
วาระมี นัย ยมก ปุจฉา และ อรรถ ในอุทเทสวาระอย่างนี้ก่อน
พระคาถาที่ว่า มูลํ เหตุ นิทานํ จ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่า
อุทานคาถา ของวาระทั้งหลาย 10 คำทั้งหลายมีคำว่า มูล เป็นต้น
แม้ทั้งหมดในคาถานั้น เป็นไวพจน์ของ เหตุ ( การณะ) นั่นแหละ
ก็เหตุ ชื่อว่า มูล เพราะอรรถว่าตั้งไว้เฉพาะ
ธรรมชาติใดย่อมไป คือ ย่อมเป็นไป เพื่อยังผลของตนให้
สำเร็จ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า เหตุ

ธรรมชาติใดย่อมให้ซึ่งผลของตน ราวกะแสดงอยู่ว่า เชิญท่าน
ถือเอาซึ่งผลนั้น เหตุนั้นธรรมชาตินั้น ชื่อว่า นิทาน
ผลย่อมเกิดพร้อมจากธรรมใด เหตุนั้นธรรมนั้น ชื่อว่า สัมภวะ
ผลย่อมเกิดทั่วจากธรรมใด เหตุนั้นธรรมนั้น ชื่อว่า ปภวะ
ผลย่อมตั้งขึ้นในธรรมนี้ หรือว่า ย่อมตั้งขึ้นด้วยธรรมนี้ เหตุนี้
ธรรมนี้ชื่อว่า สมุฏฐาน
ธรรมใดย่อมนำมาซึ่งผลของตน เหตุนั้นธรรมนั้น ชื่อว่า
อาหาร
ธรรมใดอันผลของตนย่อมยึดไว้ เพราะอรรถว่าไม่พึงถูกปฏิเสธ
(ด้วยผลของตน ) เหตุนั้นธรรมนั้น ชื่อว่า อาลัมพณะ ( หรือ
อารัมมณะ )

ผลอาศัยธรรมนั้น คือไม่ปฏิเสธ ( ธรรมนั้น ) ย่อมเกิด
คือย่อมเป็นไป เหตุนั้นธรรมนั้น ชื่อว่า ปัจจัย

ผลย่อมเกิดแต่ธรรมนี้ เหตุนั้นธรรมนั้น ชื่อว่า สมุทัย
บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งคำ แห่งบททั้งหลาย เหล่านั้น
อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
วรรณนาอุทเทสวาระ จบ

[6] มูลวารนิทเทสในกุสลบท


มูลนยะที่ 1


1. มูลยมกะ :-


ธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่เป็นกุศล, มีอยู่, ธรรมเหล่านั้น
ทั้งหมด ชื่อว่ากุศลมูล ใช่ไหม ?
มูลมี 3 เท่านั้น ชื่อว่ากุศลมูล, กุศลธรรมที่เหลือนอกนั้น
ไม่ชื่อว่ากุศลมูล.
ก็หรือว่าธรรมเหล่าใด ชื่อว่ากุศลมูล มีอยู่, ธรรมเหล่านั้น
ทั้งหมด เป็นกุศล ใช่ไหม ?
ใช่.

2. เอกมูลยมกะ :-


ธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่เป็นกุศล มีอยู่, ธรรมเหล่านั้นทั้ง
หมด มีมูลเป็นอันเดียวกันกับกุศลมูล ใช่ไหม ?
ใช่.
ก็หรือว่าธรรมเหล่าใด มีมูลเป็นอันเดียวกันกับกุศลมูล มีอยู่,
ธรรมเหล่านั้นทั้งหมด เป็นกุศล ใช่ไหม ?
รูปที่มีกุศลเป็นสมุฏฐาน มีมูลเป็นอันเดียวกันกับกุศลมูล แต่
ไม่ใช่เป็นกุศล, กุศลธรรมมีมูลเป็นอันเดียวกันกับกุศลมูลด้วย เป็น
กุศลด้วย.