เมนู

ปฏิจจสมุปปาทกถา



[1084] สกวาที ปฏิจจสมุปบาทเป็นอสังขตะ หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว
ส. เป็นนิพพาน เป็นที่ต้านทาน เป็นที่เร้น เป็นที่พึ่ง เป็น
ที่หมาย เป็นฐานะอันไม่เคลื่อน เป็นอมตะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ปฏิจจสมุปบาทเป็นอสังขตะ นิพพานก็เป็นอสังขตะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. อสังขตะเป็น 2 อย่างหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. อสังขตะเป็น 2 อย่าง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ที่ต้านทานก็เป็น 2 อย่าง ที่เร้นก็เป็น 2 อย่าง ที่พึ่งก็
เป็น 2 อย่าง ที่หมายก็เป็น 2 อย่าง ฐานะอันไม่เคลื่อนก็เป็น 2 อย่าง อมตะ
ก็เป็น 2 อย่าง นิพพานก็เป็น 2 อย่าง หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. นิพพานก็เป็น 2 อย่างหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. มีความสูงและต่ำ มีความเลวและความประณีต มีความ
อุกฤษฏ์และทราม มีเขตแดน หรือความแตกต่าง หรือร่อง หรือระหว่างขั้น
แห่งนิพพาน 2 อย่างนั้นหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

[1085] ส. ปฏิจจสมุปบาทเป็นอสังขตะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. อวิชชาก็เป็นอสังขตะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. อวิชชาเป็นสังขตะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ปฏิจจสมุปบาทก็เป็นสังขตะหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ปฏิจจสมุปบาทเป็นอสังขตะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. สังขารที่เกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ก็เป็นอสังขตะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. สังขารที่เกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เป็นสังขตะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ปฏิจจสมุปบาทก็เป็นสังขตะหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ปฏิจจสมุปบาทเป็นอสังขตะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วิญญาณที่เกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย ก็เป็นอสังขตะ
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้นเลย
ส. วิญญาณที่เกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย เป็นสังขตะหรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. ปฏิจจสมุปบาทก็เป็นสังขตะหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ปฏิจจสมุปบาทเป็นอสังขตะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. นามรูปที่เกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ก็เป็นอสังขตะ
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. นามรูปที่เกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย เป็นสังขตะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ปฏิจจสุปบาทก็เป็นสังขตะหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ปฏิจจสมุปบาทเป็นอสังขตะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ชราและมรณะที่มีเพราะชาติเป็นปัจจัยก็เป็นอสังขตะ
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ชราและมรณะที่มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ก็เป็นสังขตะ
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ปฏิจจสมุปบาทก็เป็นสังขตะหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

[1086] ป. ไม่พึงกล่าวว่า ปฏิจจสมุปบาทเป็นอสังขตะ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ชรา มรณะ มีเพราะชาติเป็นปัจจัย โดยพระตถาคตทั้งหลายจะอุบัติ
ขึ้นหรือมิอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้นได้ตั้งอยู่แล้วเทียว เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรม
นิยาม คือความที่ธรรมนี้เกิดขึ้นเพราะธรรมนี้เป็นปัจจัย พระตถาคตตรัสรู้
ด้วยปัญญาอันยิ่ง ค้นพบด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธาตุนั้น ครั้นตรัสรู้ด้วยปัญญา
อันยิ่งแล้ว ครั้นค้นพบด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว จึงบอก แสดง ประกาศ เผย
แพร่ ขยาย ทำให้ง่าย และได้ชี้แจงว่า ชราและมรณะมีเพราะชาติเป็นปัจจัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ มีสังขารมีเพราะอวิชชา
เป็นปัจจัย โดยตถาคตทั้งหลายจะอุบัติขึ้น หรือมิอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้นได้
ตั้งอยู่แล้วเทียว ฯลฯ และได้ชี้แจงว่าสังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ภิกษุ
ทั้งหลาย ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน ความไม่เป็นโดยประการอื่น
คือความที่ธรรมเกิดขึ้นเพราะธรรมนี้เป็นปัจจัย สภาวธรรมนั้น ดังกล่าวนี้
อันใด นี้เรากล่าวว่า ปฏิจจสมุปบาท ดังนี้
1 เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. ถ้าอย่างนั้น ปฏิจจสมุปบาทก็เป็นอสังขตะน่ะสิ.
[1087] ส. ปัจจยาการบท 1 ว่า สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ดังนี้ สภาวะใดเป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยาม ในปัจจยาการนั้น สภาวะนั้น
เป็นอสังขตะ นิพพานก็เป็นอสังขตะ หรือ ?

1. สํ. นิ. 16/61.

ป. ถูกแล้ว.
ส. อสังขตะเป็น 2 อย่าง หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. อสังขตะเป็น 2 อย่าง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ที่ต้านทาน ก็เป็น 2 อย่าง ฯลฯ หรือมีระหว่างขึ้นแห่ง
นิพพาน 2 อย่างนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1088] ส. ปัจจยาการบท 1 ว่า สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ดังนี้ สภาวะใดเป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยามในปัจจยาการนั้น สภาวะนั้น
เป็นอสังขตะ ปัจจยาการอีกบท 1 ว่า วิญญาณมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย
ดังนี้ สภาวะใดเป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยาม ในปัจจยาการนั้น สภาวะนั้น
ก็เป็นอสังขตะ นิพพานก็เป็นอสังขตะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. อสังขตะ เป็น 3 อย่างหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. อสังขตะ เป็น 3 อย่างหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ที่ต้านทาน ก็เป็น 3 อย่าง ฯลฯ มีระหว่างขั้นแห่งนิพพาน
3 อย่างนั้นหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1089] ส. ปัจจยาการบท 1 ว่า สังขารทั้งหลายมีเพราะอวิชชา

เป็นปัจจัย ดังนี้ สภาวะใด เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยาม ในปัจจยาการนั้น
สภาวะนั้นเป็นอสังขตะ ปัจจยาการอีกบท 1 ว่า วิญญาณมีเพราะสังขาร
เป็นปัจจัย
ดังนี้ สภาวะใด เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยาม ในปัจจยาการนั้น
สภาวะนั้นก็เป็นอสังขตะ ฯลฯ ปัจจยาการอีกบท 1 ว่า ชรามรณะมีเพราะ
ชาติเป็นปัจจัย
ดังนี้ สภาวะใด เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยาม ในปัจจยาการ
นั้น สภาวะนั้นก็เป็นอสังขตะ นิพพานก็เป็นอสังขตะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. อสังขตะ เป็น 12 อย่างหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. อสังขตะเป็น 12 อย่างหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ที่ต้านทาน ก็เป็น 12 อย่าง ที่เร้นก็เป็น 12 อย่าง ฯลฯ
มีระหว่างขั้นแห่งนิพพาน 2 อย่างนั้นหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ปฏิจจสมุปปาทกถา จบ

อรรถาปฏิจจสมุปปาทกถา



ว่าด้วย ปฏิจจสมุปบาท



บัดนี้ ชื่อว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาท. ในเรื่องนั้นชนเหล่าใดมีความเห็นผิด
ดุจลัทธิของนิกายปุพพเสลิยะ และมหิสาสกะทั้งหลายว่า ปฏิจจสมุปบาท
เป็นอสังขตะ เพราะพระบาลีในนิทานวรรคว่า การอุบัติขึ้นแห่งพระตถาคต
เจ้าก็ดี การไม่อุบัติก็ดี ชื่อว่าธัมมัฏฐิตตา คือ ความตั้งอยู่แห่งธรรม มีอยู่ ดังนี้
คำถามของสกวาทีหมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที. ปัญหา
ว่า อวิชชาเป็นสังขตะ เป็นต้น สกวาทีกล่าวเพื่อแสดงสภาวะปฏิจจสมุปบาท
แห่งธรรมทั้งหลายมีอวิชชาเป็นต้นนั่นแหละ. ก็องค์หนึ่ง ๆ ในธรรมเหล่านั้น
ท่านเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทมีอยู่ด้วยอรรถอันใด อรรถอันนั้นนั่นแหละท่าน
ได้กล่าวไว้แล้วในปฏิจจสมุปปาทวิภังค์.
คำว่า สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ สภาวะใดเป็นธัมมฐิติ
เป็นอาทิ สกวาทีกล่าวเพื่อทำลายอรรถแห่งลัทธิที่ปรวาทีนำมาตั้งไว้แล้ว
ด้วยพระสูตรนั้นนั่นแหละ.
ก็ในข้อนี้ พึงทราบเนื้อความว่า ธาตุใดเป็นสภาวะตั้งอยู่แล้วในก่อน
ธาตุนั้นเทียว ท่านเรียกว่าเป็นธัมมฐิติ ธัมมนิยาม ธาตุนั้นเว้นจากอวิชชา
เป็นตนมีอยู่ส่วนหนึ่งก็หาไม่ และคำว่า ธัมมฐิติ และธัมมนิยามนี้เป็นชื่อแห่ง
ปัจจัยทั้งหลายมีอวิชชาเป็นต้นนั่นแหละ. จริงอยู่ เมื่อพระตถาคตทรงอุบัติ
แล้วก็ดี ยังมิได้ทรงอุบัติก็ดี สังขารทั้งหลายก็ย่อมเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ทั้งธรรมทั้งหลายมีวิญญาณเป็นต้นย่อมเกิดแต่ธรรมทั้งหลายมีสังขารเป็นต้น
เพราะฉะนั้น ความตั้งอยู่อันใดเพราะอรรถว่าเป็นเหตุแห่งสังขารธรรมทั้งหลาย