เมนู

ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณเป็นนิยตะโดยอรรถว่าวิญญาณ
น่ะสิ.
ธรรมกถา จบ

อรรถกถาธัมมกถา


ว่าด้วย ธรรม


บัดนี้ ชื่อว่าเรื่องธรรม. ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดมีความเห็นผิด
ดุจลัทธิของนิกายอันธกะและอุตตราปถกะบางพวกว่า ธรรมทั้งหลาย
มีรูปเป็นต้น เป็นนิยตะ คือเป็นสภาพเที่ยง เพราะสภาพแห่งรูปเป็นต้น
ย่อมไม่ละซึ่งสภาพนั้น เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายทั้งปวงจึงเป็นนิยตะ
ดังนี้ คำถามของสกวาทีว่า ธรรมทั้งปวง เป็นต้น หมายถึงชนเหล่านั้น
คำตอบรับรองเป็นของปรวาที. ลำดับนั้น สกวาทีจึงกล่าวคำว่า เป็น
มิจฉัตตนิยตะ เป็นต้น เพื่อท้วงว่า ถ้าว่า ธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น
เหล่านั้น พึงเป็นสภาพแน่นอน คือพึงเป็นมิจฉัตตนิยตะ หรือพึงเป็น
สัมมัตตนิยตะไซร้ เพราะชื่อว่า นิยามอื่นจากนี้ไม่มี ดังนี้. ในปัญหานั้น
คำปฏิเสธและคำรับรองเป็นของปรวาที.
คำว่า รูปเป็นนิยตะโดยอรรถว่าเป็นรูป เป็นต้น สกวาทีกล่าว
เพื่อจะท้วงด้วยสามารถแห่งรูปที่บุคคลกล่าวว่า เป็นนิยตะโดยอรรถ
อันใดนั้น ในข้อนี้ ท่านอธิบายไว้ว่า บุคคลพึงกล่าวโดยความประสงค์ว่า
ก็รูปชื่อว่าเป็นของเที่ยง ด้วยอรรถว่าเป็นรูป เพราะฉะนั้น รูปจึงเป็น
รูปเท่านั้น ไม่ใช่เป็นภาวธรรมมีเวทนาเป็นต้น ใคร ๆ ไม่พึงกล่าวโดย
ประการอื่นจากนี้ ถามว่า เพราะเหตุไร ? แก้ว่า เพราะไม่มีรูปอื่น

นอกจากอรรถว่าเป็นรูป จริงอยู่ สภาพแห่งรูปมีรูปเป็นอรรถด้วย สภาพ
แห่งรูปเป็นรูปนั่นแหละด้วย มิใช่เป็นธรรมอื่นนอกจากรูป แต่ว่า โวหาร
นี้ย่อมมีเพื่อให้รู้ถึงความต่างกันของรูปกับธรรมทั้งหลายมีเวทนาเป็นต้น
ดังนี้. เพราะฉะนั้น คำว่า รูปเป็นนิยตะ โดยอรรถเป็นรูป ดังนี้ ย่อม
เป็นคำอันสกวาทีกล่าวว่า รูปเป็นนิยตะหรือ ดังนี้ ก็ชื่อว่า นิยตะ
พึงเป็นมิจฉัตตนิยตะ หรือเป็นสัมมัตตนิยตะ เพราะนอกจากนิยตะนี้แล้ว
นิยาม คือข้อกำหนดที่แน่นอนอย่างอื่นไม่มี. ถามว่า ครั้นเมื่อเป็น
เช่นนั้น เพราะเหตุไร ? ท่านจึงตอบรับรอง. ว่า เพราะอำนาจ
ความแตกต่างกันแห่งอรรถมีอยู่. จริงอยู่ ในคำว่า รูปเป็นนิยตะ โดย
อรรถว่าเป็นรูป
นี้ท่านอธิบายว่า รูปก็เป็นรูปเท่านั้น ไม่เป็นสภาพธรรม
มีเวทนาเป็นต้น ดังนี้. เพราะฉะนั้นท่านจึงตอบรับรอง.
อนึ่ง ความที่รูปนั้นเป็นนิยตะคือเที่ยงแท้โดยประการอื่นจาก
ประการที่กล่าวมานี้ ย่อมไม่มี ดังนั้น สกวาทีจึงกล่าวคำว่า เป็น
มิจฉัตตนิยตะ เป็นต้น เพื่อจะกล่าวท้วงโดยนัยนั้นแหละ. คำเหล่านั้นทั้งหมด
มีอรรถตื้นทั้งนั้น. แม้ลัทธิว่า ถ้าอย่างนั้น รูปก็เป็นนิยตะ ดังนี้ ลัทธินี้
ย่อมตั้งไว้ไม่ได้เลย เพราะตั้งไว้โดยไม่แยบคาย ดังนี้แล.
อรรถกถาธัมมกถา จบ

กรรมกถา


[1851] สกวาที กรรมทั้งปวงเป็นนิยตะ หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. เป็นมิจฉัตตนิยตะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เป็นมิจฉัตตนิยตะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เป็นสัมมัตตนิยตะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. กองอันเป็นอนิยตะไม่มี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. กองอันเป็นอนิยตะมีอยู่ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า กองอันเป็นอนิยตะมีอยู่ ก็ต้องไม่กล่าวว่า
กรรมทั้งปวง เป็นนิยตะ.
[1852] ส. กรรมทั้งปวงเป็นนิยตะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกอง 3 คือ กองอันเป็น
มิจฉัตตนิยตะ กองอันเป็นสัมมัตตนิยตะ กองอันเป็นอนิยตะ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกอง 3 คือ กองอัน