เมนู

ป. ถูกแล้ว.
ส. ปัญญาที่เป็นโลกุตตระมีอยู่ แต่ปัญญินทรีย์ที่เป็น
โลกุตตระไม่มี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1808] ส. อินทรีย์ 5 ที่เป็นโลกิยะ ไม่มี หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราเมื่อตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ได้เห็นแล้วแลซึ่งสัตว์ทั้งหลาย บางพวก
เป็นผู้มีธุลีในดวงตาน้อย บางพวกเป็นผู้มีธุลีในดวงตามาก บางพวก
เป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้า บางพวกเป็นผู้มีอินทรีย์อ่อน บางพวกเป็นผู้มี
อาการดี บางพวกเป็นผู้มีอาการทราม บางพวกเป็นผู้ที่จะให้รู้แจ้งได้ง่าย
บางพวกเป็นผู้ที่จะให้รู้แจ้งได้ยาก บางพวกเป็นผู้เห็นโทษและภัยใน
ปรโลกอยู่
ดังนี้1 เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้นอินทรีย์ 5 ที่เป็นโลกิยะก็มีอยู่ น่ะสิ.
อินทริยกถา จบ

อรรถกถาอินทริยกถา



ว่าด้วย อินทรีย์



บัดนี้ ชื่อว่าเรื่องอินทรีย์ คือธรรมที่เป็นใหญ่. ในเรื่องนั้น ชน
เหล่าใดมีความเห็นผิดดุจลัทธินิกายเหตุวาทะและมหิสาสกะทั้งหลายว่า

1. ม.มู. 12/323.

ศรัทธาที่เป็นโลกียะชื่อว่าเป็นศรัทธาเท่านั้นไม่ชื่อว่าเป็นสัทธินทรีย์
วิริยะที่เป็นโลกียะสติที่เป็นโลกียะสมาธิที่เป็นโลกียะปัญญาที่เป็นโลกียะ ฯลฯ
ชื่อว่าเป็นปัญญาเท่านั้นไม่ชื่อว่าเป็นปัญญินทรีย์ ดังนี้ คำถามของ
สกวาทหมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที.
คำว่า ศรัทธาที่เป็นโลกีย์ไม่มีหรือ เป็นต้น ท่านกล่าวเพื่อแสดง
ซึ่งความที่ธรรมทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้น แม้เป็นโลกีย์ก็ชื่อว่าเป็นอินทรีย์
ด้วยเพราะอรรถว่าเป็นใหญ่ยิ่ง มิใช่ธรรมอื่นนอกจากศรัทธาเป็นต้น
ชื่อว่าสัทธินทรีย์เป็นต้น เหตุใด เพราะเหตุนั้น ธรรมทั้งหลายมีศรัทธา
เป็นต้นนั่นแหละ แม้เป็นโลกิยะก็ชื่อว่าเป็นสัทธินทรีย์ เป็นต้น. คำว่า
มโนที่เป็นโลกิยะมีอยู่ เป็นต้น สกวาทีกล่าวเพื่ออธิบายเนื้อความนั้น
ให้แจ่มแจ้งด้วยอุปมาว่า ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นมีมโนเป็นต้นเป็นโลกียะ
ก็ชื่อว่ามนินทรีย์เป็นต้น ฉันใด ธรรมทั้งหลายแม้มีศรัทธาเป็นต้น ที่เป็น
โลกียะก็ชื่อว่าเป็นสัทธินทรีย์เป็นต้น ฉันนั้นดังนี้. คำที่เหลือในที่นี้ พึงทราบ
ตามพระบาลีนั่นแหละ ดังนี้แล.
อรรถกถาอินทริยกถา จบ

รวมกถาที่มีในวรรคนี้คือ



1.กิเลสชหนกถา1 2. สุญญตากถา 3. สามัญญผลกถา 4. ปัตติกถา
5. ตถตากถา 6. กุสลกถา 7. อัจจันตนิยามกถา 8. อินทริยกถา.
วรรคที่ 19 จบ

1. อรรถกถาว่า "กิเลสัปปชหนกถา."