เมนู

ทุติยฌาน ฯลฯ เป็นตติยฌาน ฯลฯ เป็นจตุตถฌาน หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ป. ถ้าอย่างนั้น สมาธิที่ไม่มีวิตกมีแต่วิจาร ก็เป็นฌานคั่น
น่ะสิ.
[1763] ส. สมาธิไม่มีวิตกมีแต่วิจารเป็นฌานคั่น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสมาธิไว้ 3 อย่าง คือ
สมาธิที่มีวิตก มีวิจาร, สมาธิที่ไม่มีวิตกมีแต่วิจาร, สมาธิที่ไม่มีวิตกไม่มี
วิจาร
มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสมาธิไว้ 3 อย่าง
คือสมาธิที่มีวิตกมีวิจาร สมาธิที่ไม่มีวิตกมีแต่วิจาร สมาธิที่ไม่มีวิตก
ไม่มีวิจาร ก็ต้องไม่กล่าวว่า สมาธิที่ไม่มีวิตกมีแต่วิจารเป็นฌานคั่น.
ฌานันตริกกถา จบ

อรรถกถาฌานันตริกกถา



ว่าด้วย ฌานคั่น



บัดนี้ ชื่อว่าเรื่องฌานคั่น. ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดมีความเห็นผิด
ดุจลัทธินิกายสมิติยะและอันธกะทั้งหลายบางพวกว่า ผู้ไม่รู้โอกาส คือ
การปรากฏ แห่งสมาธิที่ไม่มีวิตกมีแต่วิจารในลัทธิปัญจกนัยที่ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงจำแนกฌาน 5 อย่าง สมาธิทั้งสิ้นทรงยกขึ้นแสดงไว้
3 อย่าง
ข้อนี้ชื่อว่าฌานคั่นในระหว่างฌานที่ 1 และฌานที่ 2 ดังนี้

คำถามของสกวาทีหมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที.
ลำดับนั้น สกวาทีจึงกล่าวคำว่า ผัสสะคั่นมีอยู่หรือ เป็นต้น เพื่อท้วง
ด้วยคำว่า ฌานก็ดี เจตสิกธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้นก็ดีมีอยู่ เพราะ
ฉะนั้นถ้าว่าฌานคั่นพึงมีไซร้ ผัสสะคั่นเป็นต้นก็ต้องมี ดังนี้.
ข้อว่า ฌานคั่นมีอยู่ในระหว่างทุติยฌานและตติยฌาน สกวาที
กล่าวเพื่อท้วงว่า ถ้าว่า ฌานคั่นพึงมีไซร้ ฌานทั้งหลายมีทุติยฌานและ
ตติยฌานเป็นต้นนั่นแหละมีอยู่ อันฌานคั่นแห่งฌานเหล่านั้นก็พึงมีด้วย.
ปรวาที ตอบปฏิเสธด้วย ตอบรับรองด้วย เพราะความไม่มีในลัทธิทั้งหมด.
ถูกถามว่า ฌานคั่นในระหว่างปฐมฌานและทุติยฌาน ปรวาทีตอบ
รับรองด้วยสามารถแห่งลัทธิ. คำว่า วิตกวิจาร เป็นต้น สกวาทีกล่าว
เพื่อท้วงด้วยคำว่า เมื่อความเป็นสมาธิแห่งสมาธิแม้ทั้ง 3 มีอยู่ สมาธิ
ที่ไม่มีวิตกมีแต่เพียงวิจารเท่านั้นเป็นฌานคั่น สมาธินอกจากนี้ไม่ใช่ไซร้
ก็เมื่อเป็นเช่นนี้อะไรเป็นเหตุแปลกกันในที่นี้. คำว่า ในระหว่างฌาน
ทั้ง 2 เกิดคล่องแคล่ว
สกวาทีถามหมายถึงปฐมฌานและทุติยฌาน. ปรวาที
ตอบรับรองด้วยลัทธิว่า สมาธิที่ไม่มีวิตกมีแต่วิจารในระหว่างแห่งฌาน
ทั้ง 2 เกิดคล่องแคล่วเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นฌานคั่น.
ถูกถามว่า ปฐมฌานดับแล้ว ทุติยฌานก็ยังไม่เกิดขึ้น ปรวาที
ตอบรับรอง เพราะความเป็นไปในขณะหนึ่งแห่งฌานทั้ง 3 ไม่ประกอบ
กัน.
ปรวาทีถามด้วยความสามารถแห่งจตุกกนัยว่า สมาธิไม่มี
วิตกมีแต่วิจารเป็นปฐมฌาน ฯลฯ เป็นทุติยฌาน ฯลฯ
สกวาทีตอบ
ปฏิเสธเพราะความไม่มีแห่งฌานนั้น ในนัยนั้น.

ในคำนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสมาธิไว้ 3 อย่าง มิใช่หรือ
อธิบายว่า บรรดาสมาธิ 3 นั้น ๆ สมาธิ 2 เป็นฌานอย่างเดียวไม่เป็น
ฌานคั่นฉันใด อันฌานแม้นี้นั่นแหละก็ไม่พึงเป็นฌานคั่นฉันนั้น ด้วย
ประการฉะนี้แล.
อรรถกถาฌานันตริกกถา จบ

สมาปันโน สัททัง สุณาตีติกถา



[1764] สกวาที ผู้เข้าสมาบัติ ฟังเสียงได้ หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. ผู้เข้าสมาบัติ เห็นรูปด้วยจักษุ ฯลฯ ฟังเสียงด้วย
โสตะ ฯลฯ สูดกลิ่นด้วยฆานะ ฯลฯ ลิ้มรสด้วยชิวหา ฯลฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะ
ด้วยกายได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ผู้เข้าสมาบัติ ฟังเสียงได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ผู้เข้าสมาบัติ เป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยโสตวิญญาณ
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. สมาธิมีแก่ผู้ที่พร้อมเพรียงด้วยมโนวิญญาณ มิใช่
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า สมาธิมีแก่ผู้ที่พร้อมเพรียงด้วยมโนวิญญาณ
ก็ต้องไม่กล่าวว่า ผู้เข้าสมาบัติฟังเสียงได้.
[1765] ส. สมาธิมีแก่ผู้ที่พร้อมเพรียงด้วยมโนวิญญาณ ผู้ที่
พร้อมเพรียงด้วยโสตวิญญาณ ฟังเสียงได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า สมาธิมีแก่ผู้ที่พร้อมเพรียงด้วยมโนวิญญาณ
ผู้พร้อมเพรียงด้วยโสตวิญญาณ ฟังเสียงได้ ก็ต้องไม่กล่าวว่า ผู้เข้าสมาบัติ