เมนู

วรรคที่ 7



สังคหิตกถา



[1127] สกวาที ธรรมบางเหล่าที่ท่านสงเคราะห์เข้าไว้ด้วยธรรม
บางเหล่า ไม่มีหรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. ธรรมบางเหล่า ที่นับเข้าได้ จัดเข้าหัวข้อได้ นับเนื่อง
แล้ว ด้วยธรรมบางเหล่า มีอยู่ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า ธรรมบางเหล่า ที่นับเข้าได้ จัดเข้าหัวข้อได้
นับเนื่องแล้ว ด้วยธรรมบางเหล่า มีอยู่ ก็ต้องไม่กล่าวว่า ธรรมบางเหล่า
ที่ท่านสงเคราะห์เข้าไว้ด้วยธรรมบางเหล่าไม่มี.
[1128] ส. จักขายตนะนับเข้าได้ในขันธ์ไหน ?
ป. นับเข้าได้ในรูปขันธ์.
ส. หากว่า จักขายตนะนับเข้าได้ในรูปขันธ์ ด้วยเหตุนั้น
นะท่าน จึงต้องกล่าวว่า จักขายตนะท่านสงเคราะห์เข้าไว้ด้วยรูปขันธ์.
ป. โสตายตนะ ฯลฯ ฆานายตนะ ฯลฯ ชิวหายตนะ ฯลฯ
กายายตนะ นับเข้าได้ในขันธ์ไหน ?
ส. นับเข้าได้ในรูปขันธ์.
ป. หากว่า กายายตนะนับเข้าได้ในรูปขันธ์ ด้วยเหตุนั้น
นะท่าน จึงต้องกล่าวว่า กายายตนะท่านสงเคราะห์เข้าไว้ด้วยรูปขันธ์.
[1129] ส. รูปายตนะ ฯลฯ สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ ฯลฯ
รสายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ นับเข้าได้ในขันธ์ไหน ?

ป. นับเข้าได้ในรูปขันธ์.
ส. หากว่า โผฏฐัพพายตนะนับเข้าได้ในรูปขันธ์ ด้วย
เหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า โผฏฐัพพายตนะ ท่านสงเคราะห์เข้าไว้ด้วย
รูปขันธ์.
[1130] ส. สุขเวทนานับเข้าได้ในขันธ์ไหน ?
ป. นับเข้าได้ในเวทนาขันธ์.
ส. หากว่า สุขเวทนานับเข้าได้ในเวทนาขันธ์ ด้วยเหตุนั้น
นะ ท่านจึงต้องกล่าวว่า สุขเวทนาท่านสงเคราะห์เข้าไว้ด้วยเวทนาขันธ์.
ป. ทุกขเวทนา ฯลฯ อทุกขมสุขเวทนา นับเข้าได้ในขันธ์
ไหน ?
ส. นับเข้าได้ในเวทนาขันธ์.
ป. หากว่า อทุกขมสุขเวทนานับเข้าได้ในเวทนาขันธ์
ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า อทุกขมสุขเวทนาท่านสงเคราะห์เข้าไว้
ด้วยเวทนาขันธ์.
[1131] ส. สัญญาอันเกิดแต่จักขุสัมผัส นับเข้าได้ในขันธ์ไหน ?
ป. นับเข้าได้ในสัญญาขันธ์.
ส. หากว่า สัญญาอันเกิดแต่จักขุสัมผัส นับเข้าได้ใน
สัญญาขันธ์ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า สัญญาอันเกิดแต่จักขุสัมผัส
ท่านสงเคราะห์เข้าไว้ด้วยสัญญาขันธ์.
ป. สัญญาอันเกิดแต่โสตสัมผัส ฯลฯ สัญญาอันเกิดแต่
มโนสัมผัส นับเข้าได้ในขันธ์ไหน ?
ส. นับเข้าได้ในสัญญาขันธ์.

ป. หากว่า สัญญาอันเกิดแต่มโนสัมผัส นับเข้าได้ใน
สัญญาขันธ์ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า สัญญาอันเกิดแต่มโนสัมผัส
ท่านสงเคราะห์เข้าไว้ด้วยสัญญาขันธ์.
[1132] ส. เจตนาอันเกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาอันเกิดแต่
มโนสัมผัส นับเข้าได้ในขันธ์ไหน ?
ป. นับเข้าได้ในสังขารขันธ์.
ส. หากว่า เจตนาอันเกิดแต่มโนสัมผัส นับเข้าได้ใน
สังขารขันธ์ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า เจตนาอันเกิดแต่มโนสัมผัส
ท่านสงเคราะห์เข้าไว้ด้วยสังขารขันธ์.
[1133] ส. จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ นับเข้าได้ในขันธ์ไหน ?
ป. นับเข้าได้ในวิญญาณขันธ์.
ส. หากว่า มโนวิญญาณนับเข้าได้ในวิญญาณขันธ์ ด้วย
เหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า มโนวิญญาณท่านสงเคราะห์เข้าไว้ด้วย
วิญญาณขันธ์.
ป. ธรรมเหล่านั้น ท่านสงเคราะห์เข้าด้วยธรรมเหล่านั้น
ก็เหมือนอย่างโคพลิพัทท์คู่ 1 ที่เขาสงเคราะห์ คือล่าม ไว้ด้วยทามหรือ
เชือก บิณฑบาตที่เขาสงเคราะห์ คือแขวน ไว้ด้วยสาแหรก สุนัขที่เขา
สงเคราะห์ คือผูก ไว้ด้วยเชือกผูกสุนัข.
ส. หากว่า โคพลิพัทท์คู่หนึ่ง เขาสงเคราะห์ คือล่าม ไว้
ด้วยทามหรือเชือก บิณฑบาตสงเคราะห์ คือแขวน ไว้ได้ด้วยสาแหรก
สุนัขเขาสงเคราะห์ คือผูก ไว้ด้วยเชือกผูกสุนัข ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้อง
กล่าวว่า ธรรมบางเหล่า ที่ท่านสงเคราะห์ไว้ด้วยธรรมบางเหล่า มีอยู่.
สังคหิตกถา จบ

อรรถกถาสังคหิตกถา



ว่าด้วย ธรรมที่สงเคราะห์กันได้



บัดนี้ ชื่อว่าเรื่องธรรมที่สงเคราะห์กันได้. ในปัญหานั้น ชนเหล่าใด
มีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายราชคิริกะ และสิทธัตถิกะทั้งหลายว่า
ธรรมบางเหล่าชื่อว่า สงเคราะห์กันได้กับธรรมบางเหล่า ดุจโคคู่หนึ่ง
มีโคพลิพัทเป็นต้น ที่เขาผูกไว้ด้วยเชือกเป็นต้น ย่อมไม่มี เหตุใด เพราะ
เหตุนั้น ธรรมทั้งหลายบางอย่างที่สงเคราะห์กับธรรมทั้งหลายบางอย่าง
จึงไม่มี ครั้นเมื่อความเป็นเช่นนี้มีอยู่คำเป็นต้นว่า การสงเคราะห์รูปโดย
ความเป็นอันเดียวกันได้ ก็ไม่มีประโยชน์ ดังนี้ คำถามของสกวาที หมาย
ถึงชนเหล่านั้น เพื่อจะแสดงความที่ธรรมสงเคราะห์กันได้ด้วยอรรถ
อย่างหนึ่ง คำตอบรับรองเป็นของปรวาทีด้วยสามารถแห่งลัทธิของตน.
บัดนี้การสงเคราะห์ธรรม อันบัณฑิตย่อมหาได้ด้วยอรรถอันใด เพื่อแสดง
อรรถอันนั้น พระสกวาทีจึงเริ่มคำว่า ธรรมบางเหล่าที่ท่านสงเคราะห์
เข้าไว้ด้วยธรรมบางเหล่าไม่มีหรือ
. คำทั้งหมดนั้นมีอรรถง่ายทั้งนั้น
เหมือนอย่างโคพลิพัทคู่ 1 ที่เขาล่ามไว้ด้วยทามหรือเชือก นี้เพื่อตั้ง
ลัทธิของตน บัณฑิตพึงทราบว่า ลัทธิของปรวาทีนั้นถูกสกวาทีผู้ไม่ยินดี
คำอุปมานั้น ไม่คัดค้านคำอุปมานั้นทำลายเสียแล้ว ด้วยคำว่า หากว่าโค
พลิพัทคู่ 1 เขาล่ามไว้ด้วยทามหรือเชือก... ด้วยเหตุนั้นนะ ท่านจึงต้อง
กล่าวว่าธรรมบางเหล่าที่ท่านสงเคราะห์ไว้ด้วยธรรมบางเหล่ามีอยู่
ดังนี้.
ในข้อนี้ พึงทราบเนื้อความว่า ถ้าว่า ชื่อว่าโคพลิพัทเป็นต้นที่เขาสงเคราะห์
กัน คือผูกไว้คู่หนึ่งสำหรับเทียมแอก ด้วยเชือกเป็นต้น ตามลัทธิของท่าน
ไม่มีไซร้ ธรรมทั้งหลายบางอย่างที่สงเคราะห์กันได้ก็ไม่มี ดังนี้.
อรรถกถาสังคหิตกถา จบ