เมนู

หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ชิวหาวิญญาณอันนั้น กายวิญญาณก็อันนั้นแหละ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1567] ป. ไม่พึงกล่าวว่า วิญญาณ 5 เกิดขึ้นในลำดับแห่งกัน
และกัน หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. บุคคลบางคน ฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรีเห็นรูป
ด้วย ฟังเสียงด้วย สูดกลิ่นด้วย ลิ้มรสด้วย ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วย ใน
ขณะเดียวกัน มีอยู่ มิใช่ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. หากว่า บุคคลบางคน ฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี
เห็นรูปด้วย ฟังเสียงด้วย กลิ่นด้วย ลิ้มรสด้วย ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วย
ในขณะเดียวกัน มีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า วิญญาณ 5
เกิดขึ้นในลำดับแห่งกันและกันแล.
อนันตรปัจจยกถา จบ

อรรถกถาอนันตรปัจจยกถา



ว่าด้วย อนันตรปัจจัย



บัดนี้ ชื่อว่าเรื่องอนันตรปัจจัย. ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดมีความเห็น
ผิดดุจลัทธิของนิกายอุตตราปถกะทั้งหลายว่า วิญญาณเหล่านี้เกิด
ติดต่อกันและกันไม่มีอะไรคั่น เพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงโดยรวดเร็ว
ในการเห็นรูป และการฟังเสียงเป็นต้น ในการฟ้อนรำขับร้องเป็นต้น

คำถามของสกวาทีว่า โสตวิญญาณเกิดขึ้นในลำดับแห่งจักขุวิญญาณ
หรือ
โดยหมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที.
สกวาทีกล่าวคำว่า โสตวิญญาณมีรูปเป็นอารมณ์อย่างเดียว
(อันที่จริงโสตวิญญาณนั้นมีเสียงเป็นอารมณ์) เพื่อท้วงด้วยคำว่า ผิว่า
โสตวิญญาณพึงเกิดในลำดับแห่งจักขุวิญญาณไซร้ โสตวิญญาณนั้นก็
พึงมีรูปเป็นอารมณ์เหมือนวิปากมโนธาตุ คือสัมปฏิจฉนจิตที่เกิดในลำดับ
แห่งจักขุวิญญาณ. ในปัญหาทั้งหลายว่า โสตวิญญาณเกิดขึ้นเพราะ
อาศัยจักขุและรูปหรือ
ปรวาทีตอบปฏิเสธเพราะไม่มีในพระสูตร แต่
เมื่อปรวาทีนั้นกำหนดถึงความเกิดขึ้นแห่งอนันตรปัจจัย จึงตอบรับรอง
ด้วยสามารถแห่งลัทธิ.
ข้อว่า จักขุวิญญาณอันนั้น โสตวิญญาณก็อันนั้นแหละหรือ
ความว่า สกวาทีย่อมถามเปรียบเทียบการเกิดติดต่อกันของปฐมชวนะ
กับทุติยชวนะนั้นนั่นแหละ ย่อมเป็นไปเพราะเป็นมโนวิญญาณฉันใด
จักขุวิญญาณนั้นนั่นแหละเกิดติดต่อกับโสตวิญญาณ ฉันนั้นหรือ. พึงทราบ
เนื้อความในวาระทั้งปวงโดยนัยนี้.
คำว่า บุคคลบางคนฟ้อนรำขับร้อง เป็นต้น ย่อมแสดงถึงความ
เกิดสับสนกันแห่งวิญญาณ เพราะความเปลี่ยนไปโดยรวดเร็วในเพราะ
การประชุมแห่งอารมณ์ แต่มิใช่แสดงถึงความที่วิญญาณเหล่านั้นเป็น
อนันตรปัจจัย คือเกิดติดต่อกัน หรือเกิดในลำดับซึ่งกันและกัน เพราะ
ฉะนั้น ปัญหานี้จึงมิใช่ข้อพิสูจน์ถึงความที่จักขุวิญญาณเป็นอนันตรปัจจัย
กับโสตวิญญาณ ดังนี้แล.
อรรถกถาอนันตรปัจจยกถา จบ

อริยรูปกถา



[1568] สกวาที อริยรูปอาศัยมหาภูตรูป หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. อริยรูปเป็นกุศล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. มหาภูตรูปเป็นกุศล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. มหาภูตรูปเป็นอัพยากฤต หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. อริยรูปเป็นอัพยากฤต หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. อริยรูปอาศัยมหาภูตรูป หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. อริยรูปเป็นอนาสวะ1 เป็นอสัญโญชนียะ เป็น
อคันถนียะ เป็นอโนฆนียะ เป็นอโยคนียะ เป็นอนีวรณียะ เป็นอปรามัฏฐะ
เป็นอนุปาทานิยะ เป็นอสังกิเลสิกะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. มหาภูตรูป เป็นอนาสวะ ฯลฯ เป็นอสังกิเลสสิกะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

1. อนาสวะ แปลว่า ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ แม้คำต่อ ๆ ไปก็แปลอย่างเดียวกัน เช่น อสัญโญชนียะ
แปลว่า ไม่มีอารมณ์ของสังโยชน์ ดูนิทเทสในธรรมสังคณีปกรณ์.