เมนู

อรรถกถาปัญจวิญญาณสมังคิสสมัคคกถา



ว่าด้วย ผู้พร้อมเพรียงด้วยปัญจวิญญาณเจริญมรรค



บัดนี้ ชื่อว่าเรื่อง ผู้พร้อมเพรียงด้วยปัญจวิญญาณเจริญมรรค.
ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดมีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายมหาสังฆิกะทั้งหลาย
ว่า การเจริญมรรคมีอยู่แก่ผู้พร้อมเพรียงด้วยปัญจวิญญาณ เพราะ
อาศัยพระสูตรว่า ภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้วย่อมไม่ถือเอาโดยนิมิต เป็นต้น
ดังนี้ คำถามของสกวาทีหมายชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที.
ทีนั้น สกวาทีจึงกล่าวว่า วิญญาณ 5 มีธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นต้น เพื่อ
ท้วงด้วยคำว่า ถ้าการเจริญมรรคมีแก่ผู้พร้อมเพรียงด้วยวิญญาณ 5
นั้นไซร้ มรรคก็พึงมีคติอย่างวิญญาณ 5 หรือวิญญาณ 5 ก็พึงมีคติอย่าง
มรรค แต่ปัญจวิญญาณเหล่านั้นไม่มีคติเช่นกับมรรค เพราะไม่มีพระนิพพาน
เป็นอารมณ์ ทั้งมิใช่โลกุตตระ ถึงมรรคก็ไม่มีคติเช่นกับปัญจวิญญาณ
เพราะสงเคราะห์กันโดยลักษณะแห่งปัญจวิญญาณเหล่านั้นไม่ได้ ดังนี้.
ในข้อนั้น พึงทราบอธิบายว่า ถ้าว่ามรรคภาวนาพึงมีแก่ผู้พร้อมเพรียง
ด้วยปัญจวิญญาณไซร้ มรรคอันสัมปยุตด้วยมโนวิญญาณใด มโนวิญญาณ
แม้นั้นก็พึงมีแก่ผู้พร้อมเพรียงด้วยปัญจวิญญาณได้ ครั้นเมื่อความเป็น
เช่นนี้มีอยู่ คำอันเป็นลักษณะนี้ใดท่านกล่าวว่า ปัญจวิญญาณมีธรรมที่
เกิดขึ้นแล้วเป็นวัตถุ
เป็นต้น ท่านไม่พึงกล่าวคำนั้นอย่างนี้ ควรจะกล่าว
ว่าวิญญาณ 6 แต่ท่านไม่กล่าวอย่างนั้น กล่าวแต่เพียงคำว่า ปัญจวิญญาณ
ดังนี้ เพราะฉะนั้น ใคร ๆ ไม่พึงกล่าวว่ามรรคภาวนามีอยู่แก่ผู้พร้อมเพรียง
ด้วยปัญจวิญญาณ ดังนี้. สำหรับในข้อนี้มีอธิบายเพียงเท่านี้เท่านั้น เพราะ
ฉะนั้น สกวาทีจึงให้ปรวาทีรับรองลักษณะนั้น แล้วกล่าวว่า เพราะเหตุ

นั้นแล ท่านไม่พึงกล่าวว่า บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยวิญญาณ 5
ยังมรรคให้เกิดได้ ดังนี้.
อีกนัยหนึ่ง วิญญาณ 5 มีธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นวัตถุ ส่วนมรรค
แม้ไม่มีวัตถุก็เกิดได้ วิญญาณ 5 เหล่านั้นมีธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นอารมณ์
มรรคมีอารมณ์อันใครไม่พึงกล่าว มีพระนิพพานเป็นอารมณ์อันใคร ๆ
ไม่พึงกล่าวว่าพระนิพพานเกิด ว่าเกิดขึ้น วิญญาณ 5 มีวัตถุอันเกิดก่อน
มรรคแม้ไม่มีวัตถุก็เกิดได้ วิญญาณ 5 เหล่านั้น มีอารมณ์เกิดก่อน มรรค
ไม่มีอารมณ์เกิดก่อน วิญญาณ 5 เหล่านั้นมีธรรมภายในเป็นวัตถุ มรรค
แม้ไม่มีวัตถุก็เกิดได้ วิญญาณ 5 เหล่านั้นมีธรรมภายนอกเป็นอารมณ์
ด้วยสามารถแห่งรูปเป็นต้น มรรคมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ วิญญาณ
5 มีวัตถุธรรมที่ยังไม่ทำลายเป็นวัตถุ เพราะทำวัตถุอันยังไม่แตกดับให้
เป็นที่อาศัยแล้วเป็นไป มรรคแม้ไม่มีวัตถุก็เป็นไปได้ วิญญาณ 5 เหล่านั้น
มีธรรมที่ยังไม่ทำลายเป็นอารมณ์ เพราะปรารภรูปเป็นต้นอันยังไม่แตกดับ
นั่นแหละเป็นไป มรรคมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ วิญญาณ 5 เหล่านั้นมี
วัตถุต่าง ๆ มรรคไม่มีวัตถุ หรือมีวัตถุหนึ่ง วิญญาณ 5 เหล่านั้นไม่เสวย
อารมณ์ของกันและกัน เพราะเป็นไปในอารมณ์ของตน ๆ มีรูปารมณ์
เป็นต้น มรรคย่อมไม่กระทำรูปารมณ์เป็นต้นแม้สักอย่างหนึ่งให้เป็นอารมณ์
วิญญาณ 5 เหล่านั้นไม่รวมกันเพราะทำกิริยามโนธาตุให้เป็นปุเรจาริก
แล้วจึงเกิดทั้งไม่มีมนสิการก็ไม่เกิดขึ้น มรรคไม่มีอาวัชชนะเลย วิญญาณ
5 เหล่านั้นเกลื่อนกล่นด้วยการรับอารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น มรรคไม่ลามก
คือไม่มีความตกต่ำ เลย วิญญาณ 5 เหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นโดยความสับสน
ซึ่งกันและกัน คือหมายความว่าเกิดก่อนบ้าง เกิดทีหลังกันบ้าง ไม่มีระเบียบ

ว่าอันไหนเกิดก่อนหรือเกิดทีหลัง ความเกิดก่อนเกิดทีหลังของมรรคร่วม
กับวิญญาณ 5 เหล่านั้นหามีไม่ เพราะมรรคเกิดในกาลที่วิญญาณ 5
เหล่านั้นไม่เกิด ในสมัยที่วิปัสสนาญาณแก่กล้า ในอรูปภพอันเป็นถิ่นที่
วิญญาณ 5 ไม่เกิดก็ดี มรรคก็เกิดได้ วิญญาณ 5 เหล่านั้นไม่เกิดติดต่อ
ซึ่งกันและกัน เพราะมีสัมปฏิจฉันนจิตเป็นต้นคั่นในระหว่าง ความคั่นใน
ระหว่างด้วยสัมปฏิจฉันนจิตเป็นต้นของมรรคไม่มีเลย กิจแม้สักว่าการ
เสพอารมณ์เพราะการตกไปแห่งวิญญาณ 5 ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
ไม่มี กิจของมรรคมีการเพิกถอนกิเลส ในข้อนี้มีอธิบายเพียงเท่านี้ เพราะ
ฉะนั้น สกวาทีจึงให้ปรวาทีรับรองซึ่งความที่มรรคไม่มีคติอย่างวิญญาณ
5 เหล่านั้น ด้วยอาการเหล่านี้ แล้วจึงกล่าวว่า ก็ต้องไม่พึงกล่าวว่า บุคคล
ผู้พร้อมเพรียงด้วยวิญญาณ 5 ยังมรรคให้เกิดได้
ดังนี้.
คำว่า ปรารภความว่างเปล่า ความว่า สกวาทีถามว่า โลกุตตรมรรค
ย่อมเกิดเพราะปรารภสุญญตนิพพาน โลกียมรรคย่อมเกิดเพราะปรารภ
บุญที่เป็นสุทธสังขารเกิดขึ้น ฉันใด จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเพราะปรารภ
ฉันนั้นหรือ ? ปรวาทีตอบปฏิเสธ เพราะพระบาลีว่า จักขุวิญญาณเกิด
พระอาศัยจักขุด้วยรูปด้วย
. ถูกถามครั้งที่ 2 ก็ตอบรับรองหมายเอา
ด้วยคำว่า สิ่งใดไม่มีนิมิตในที่นั้น สิ่งนั้นชื่อว่าความว่างเปล่า เพราะบาลีว่า
ไม่ถือเอาโดยนิมิต ในปัญหาอีก 2 ข้อว่า อาศัยจักขุ เป็นต้น ก็นัยนี้.
ในข้อว่า จักขุวิญญาณปรารภอดีตและอนาคต นั้น อธิบายว่า
การเจริญมรรคมีแก่ผู้พร้อมเพรียงด้วยมโนวิญญาณ และมโนวิญญาณ
ย่อมเกิดขึ้นเพราะปรารภธรรมอันเป็นอดีตและอนาคตฉันใด แม้จักขุ
วิญญาณก็ฉันนั้นหรือ ? ในคำทั้งหลายว่า มโนวิญญาณปรารภผัสสะ

เป็นต้น ก็นัยนี้. ในข้อว่า เห็นรูปด้วยจักขุแล้วเป็นผู้ไม่ถือนิมิต นี้ อธิบาย
ว่า ท่านกล่าวว่าไม่ถือเอานิมิตในขณะแห่งชวนะ ไม่ใช่ไม่ถือเอานิมิตใน
ขณะแห่งจักขุวิญญาณ เพราะฉะนั้น คำว่าจักขุวิญญาณนี้หมายเอาสักว่า
เป็นโลกีย์ซึ่งมิใช่ข้อพิสูจน์ว่า การเจริญมรรคมีแก่ผู้พร้อมเพรียงด้วย
วิญญาณ 5 ดังนี้แล.
อรรถกถาปัญจวิญญาณสมังคิสสมัคคกถา จบ

ปัญจวิญญาณกุสลาปีติกถา



[1392] สกวาที วิญญาณ 5 เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. วิญญาณ 5 มีธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นวัตถุ มีธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้วเป็นอารมณ์ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า วิญญาณ 5 มีธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นวัตถุ
มีธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นอารมณ์ ก็ต้องไม่กล่าวว่า วิญญาณ 5 เป็นกุศล
ก็มี เป็นอกุศลก็มี.
ส. วิญญาณ 5 มีธรรมที่เกิดก่อนเป็นวัตถุ มีธรรมที่เกิด
ก่อนเป็นอารมณ์ มีธรรมภายในเป็นวัตถุ มีธรรมภายนอกเป็นอารมณ์
มีธรรมที่ยังไม่ทำลายเป็นวัตถุ มีธรรมที่ยังไม่ทำลายเป็นอารมณ์ มีวัตถุ
ต่าง ๆ มีอารมณ์ต่าง ๆ ไม่เสวยโคจรวิสัยแก่กันและกัน เกิดขึ้นโดยไม่
มีความสนใจไม่ได้ เกิดขึ้นโดยไม่มีการทำไว้ในใจไม่ได้ เกิดขึ้นโดยไม่มี
ีเจือด้วยสัมปฏิฉันนจิตเป็นต้นไม่ได้ เกิดขึ้นไม่ก่อนไม่หลังกันไม่ได้ เกิดขึ้น
ในลำดับอันชิดแห่งกันและกันไม่ได้ มิใช่หรือ ? ฯลฯ วิญญาณ 5 ไม่มี
ความผูกใจ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า วิญญาณ 5 ไม่มีความผูกใจ ก็ต้องไม่กล่าว
ว่าวิญญาณ 5 เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี ดังนี้.
[1393] ส. จักขุวิญญาณ เป็นกุศล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.