เมนู

ปัญจวิญญาณสมังคิมัคคภาวนากถา



[1387] สกวาที บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยวิญญาณ 5
ยังมรรคให้เกิดได้ หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. วิญญาณ 5 มีธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นวัตถุ คือที่อาศัย
มีธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นอารมณ์ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า วิญญาณ 5 มีธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นวัตถุ
มีธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นอารมณ์ ก็ต้องไม่กล่าวว่า บุคคลผู้มีความพร้อม
เพรียงด้วยวิญญาณ 5 ยังมรรคให้เกิดได้.
[1388] ส. วิญญาณ 5 มีธรรมที่เกิดก่อนเป็นวัตถุ มีธรรมที่
่เกิดขึ้นก่อนเป็นอารมณ์ มีธรรมภายในเป็นวัตถุ มีธรรมภายนอกเป็น
อารมณ์ มีธรรมที่ยังไม่ทำลายเป็นวัตถุ มีธรรมที่ยังไม่ทำลายเป็นอารมณ์
มีวัตถุต่าง ๆ มีอารมณ์ต่าง ๆ ไม่เสวยโคจรวิสัยแก่กันและกัน เกิดขึ้น
โดยไม่มีการสนใจไม่ได้ เกิดขึ้นโดยไม่มีการทำไว้ในใจไม่ได้ เกิดขึ้น
โดยไม่เจือด้วยสัมปฏิจฉันนจิตเป็นต้นไม่ได้ เกิดขึ้นไม่ก่อนไม่หลังกัน
ไม่ได้ เกิดขึ้นในลำดับอันชิดแห่งกันและกันก็ไม่ได้ มิใช่หรือ ? ฯลฯ
วิญญาณ ไม่มีความผูกใจ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า วิญญาณ 5 ไม่มีความผูกใจ ก็ต้องไม่กล่าว
ว่าบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยวิญญาณ 5 ยังมรรคให้เกิดขึ้นได้.
[1389] ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยวิญญาณ 5 ยังมรรค

ให้เกิดได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. จักขุวิญญาณปรารภความว่างเปล่า เกิดขึ้นได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. จักขุวิญญาณปรารภความว่างเปล่า เกิดขึ้นได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพราะอาศัยจักษุและความว่างเปล่า จึงเกิดจักขุ
วิญญาณขึ้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เพราะอาศัยจักษุและความเป็นของว่างเปล่า จึงเกิด
จักขุวิญญาณขึ้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. คำว่า เพราะอาศัยจักษุและความว่างเปล่า จึงเกิด
จักขุวิญญาณขึ้น ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริง หรือ ?
ป. ไม่มี
ส. คำว่า เพราะอาศัยจักษุและรูปทั้งหลาย จึงเกิดจักขุ
วิญญาณขึ้น
ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า คำว่า เพราะอาศัยจักษุและรูปทั้งหลาย จึง
เกิดจักขุวิญญาณขึ้น
ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริง ก็ต้องไม่กล่าวว่า เพราะ
อาศัยจักษุและความว่างเปล่าจึงเกิดจักขุวิญญาณขึ้น.
[1390] ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยจักขุวิญญาณ ยัง

มรรคให้เกิดขึ้นได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. จักขุวิญญาณปรารภอดีตและอนาคต เกิดขึ้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยจักขุวิญญาณ ยัง
มรรคให้เกิดได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. จักขุวิญญาณปรารภผัสสะ ปรารภเวทนา ปรารภ
สัญญา ปรารภเจตนา ปรารภจิต ปรารภจักษุ ฯลฯ ปรารภกาย ปรารภ
เสียง ฯลฯ ปรารภโผฏฐัพพะ เกิดขึ้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมโนวิญญาณ ยัง
มรรคให้เกิดได้ และมโนวิญญาณปรารภความว่างเปล่า เกิดขึ้นได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยจักขุวิญญาณ ยัง
มรรคให้เกิดได้ และจักขุวิญญาณปรารภความว่างเปล่า เกิดขึ้นได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมโนวิญญาณ ยัง
มรรคให้เกิดได้ และมโนวิญญาณปรารภอดีตและอนาคต เกิดขึ้นหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยจักขุวิญญาณ ยัง
มรรคให้เกิดได้ และจักขุวิญญาณปรารภอดีตและอนาคต เกิดขึ้น หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมโนวิญญาณ ยัง
มรรคให้เกิดได้ และมโนวิญญาณปรารภผัสสะ ฯลฯ ปรารภโผฏฐัพพะ
เกิดขึ้นหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยจักขุวิญญาณ ยัง
มรรคให้เกิดได้ และจักขุวิญญาณปรารภผัสสะ ฯลฯ ปรารภโผฏฐัพพะ
เกิดขึ้นหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1391] ส. ไม่พึงกล่าวว่า บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วย
วิญญาณ 5 ยังมรรคให้เกิดได้ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว เป็นผู้ไม่ถือนิมิต ไม่ถือโดย
อนุพยัญชนะ ฯลฯ ฟังเสียงด้วยโสตแล้ว ฯลฯ สูดกลิ่นด้วยฆานะแล้ว
ฯลฯ ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว ฯลฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะ ด้วยกายแล้ว เป็นผู้
ไม่ถือนิมิต ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ
ดังนี้1 เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยวิญญาณ
5 ก็ยังมรรคให้เกิดได้ น่ะสิ.
ปัญจวิญญาณสมังคิมัคคภาวนากถา จบ

1. ม.ม. 12/387, องฺ. จตุกฺก 21/37.

อรรถกถาปัญจวิญญาณสมังคิสสมัคคกถา



ว่าด้วย ผู้พร้อมเพรียงด้วยปัญจวิญญาณเจริญมรรค



บัดนี้ ชื่อว่าเรื่อง ผู้พร้อมเพรียงด้วยปัญจวิญญาณเจริญมรรค.
ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดมีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายมหาสังฆิกะทั้งหลาย
ว่า การเจริญมรรคมีอยู่แก่ผู้พร้อมเพรียงด้วยปัญจวิญญาณ เพราะ
อาศัยพระสูตรว่า ภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้วย่อมไม่ถือเอาโดยนิมิต เป็นต้น
ดังนี้ คำถามของสกวาทีหมายชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที.
ทีนั้น สกวาทีจึงกล่าวว่า วิญญาณ 5 มีธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นต้น เพื่อ
ท้วงด้วยคำว่า ถ้าการเจริญมรรคมีแก่ผู้พร้อมเพรียงด้วยวิญญาณ 5
นั้นไซร้ มรรคก็พึงมีคติอย่างวิญญาณ 5 หรือวิญญาณ 5 ก็พึงมีคติอย่าง
มรรค แต่ปัญจวิญญาณเหล่านั้นไม่มีคติเช่นกับมรรค เพราะไม่มีพระนิพพาน
เป็นอารมณ์ ทั้งมิใช่โลกุตตระ ถึงมรรคก็ไม่มีคติเช่นกับปัญจวิญญาณ
เพราะสงเคราะห์กันโดยลักษณะแห่งปัญจวิญญาณเหล่านั้นไม่ได้ ดังนี้.
ในข้อนั้น พึงทราบอธิบายว่า ถ้าว่ามรรคภาวนาพึงมีแก่ผู้พร้อมเพรียง
ด้วยปัญจวิญญาณไซร้ มรรคอันสัมปยุตด้วยมโนวิญญาณใด มโนวิญญาณ
แม้นั้นก็พึงมีแก่ผู้พร้อมเพรียงด้วยปัญจวิญญาณได้ ครั้นเมื่อความเป็น
เช่นนี้มีอยู่ คำอันเป็นลักษณะนี้ใดท่านกล่าวว่า ปัญจวิญญาณมีธรรมที่
เกิดขึ้นแล้วเป็นวัตถุ
เป็นต้น ท่านไม่พึงกล่าวคำนั้นอย่างนี้ ควรจะกล่าว
ว่าวิญญาณ 6 แต่ท่านไม่กล่าวอย่างนั้น กล่าวแต่เพียงคำว่า ปัญจวิญญาณ
ดังนี้ เพราะฉะนั้น ใคร ๆ ไม่พึงกล่าวว่ามรรคภาวนามีอยู่แก่ผู้พร้อมเพรียง
ด้วยปัญจวิญญาณ ดังนี้. สำหรับในข้อนี้มีอธิบายเพียงเท่านี้เท่านั้น เพราะ
ฉะนั้น สกวาทีจึงให้ปรวาทีรับรองลักษณะนั้น แล้วกล่าวว่า เพราะเหตุ