เมนู

วิตักกวิปผารสัททกถา



[1356] สกวาที ทุกครั้งที่ตรึกอยู่ ตรองอยู่ ความแผ่ไปแห่งวิตก
เกิดเป็นเสียง หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. ทุกครั้งที่ถูกต้องอยู่ ความแผ่ไปแห่งผัสสะก็เกิดเป็น
เสียง ทุกครั้งที่เสวยอารมณ์อยู่ ทุกครั้งที่จำอารมณ์อยู่ ทุกครั้งที่จงใจอยู่
ทุกครั้งที่คิดอยู่ ทุกครั้งที่ระลึกอยู่ ทุกครั้งที่รู้ชัดอยู่ ความแผ่ไปแห่งเวทนา
สัญญา เจตนา จิต สติ ปัญญา ก็เกิดเป็นเสียง หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1357] ส. ทุกครั้งที่ตรึกอยู่ ตรองอยู่ ความแผ่ไปแห่งวิตกเกิด
เป็นเสียง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความแผ่ไปแห่งวิตก เป็นเสียงที่พึงรู้ได้ด้วยโสตวิญญาณ
กระทบที่โสตะ มาสู่คลองแห่งโสตะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ความแผ่ไปแห่งวิตก ไม่เป็นเสียงที่พึงรู้ได้ด้วยโสต
วิญญาณ ไม่กระทบที่โสตะ ไม่มาสู่คลองแห่งโสตะ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า ความแผ่ไปแห่งวิตก ไม่เป็นเสียงที่พึงรู้ได้
ด้วยโสตวิญญาณ ไม่กระทบที่โสตะ ไม่มาสู่คลองแห่งโสตะ ก็ต้องไม่
กล่าวว่า ทุกครั้งที่ตรึกอยู่ ตรองอยู่ ความแผ่ไปแห่งวิตกเกิดเป็นเสียง.
วิตักกวิปผารสัททกถา จบ

อรรถกถาวิตักกวิปผารสัททกถา



ว่าด้วย ความแผ่ไปแห่งวิตกเป็นเสียง



บัดนี้ ชื่อว่าเรื่อง ความแผ่ไปแห่งวิตกเป็นเสียง. ในเรื่องนั้น ชน
เหล่าใดมีลัทธิดุจลัทธิของนิกายปุพพเสลิยะทั้งหลายว่า ความแผ่ออกไป
แห่งวิตกนั่นแหละเป็นเสียง เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า วิตก
วิจารเป็นวจีสังขาร
ดังนี้ เหตุใด เพราะเหตุนั้น ทุกครั้งเมื่อบุคคลตรึกอยู่
ตรองอยู่ โดยที่สุดแม้ในเวลาเป็นไปแห่งมโนธาตุ ดังนี้ คำถามของสกวาที
ว่า ทุกครั้งที่ตรึกอยู่ เป็นต้น หมายชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของ
ปรวาที. ลำดับนั้น สกวาทีจึงกล่าวกะปรวาทีนั้นว่า ทุกครั้งที่ถูกต้องอยู่
เป็นต้น เพื่อท้วงว่า ผิว่า เหตุสักว่าการแผ่ออกไปแห่งวิตกเป็นเสียงไซร้
แม้การแผ่ออกไปแห่งผัสสะเป็นต้น ก็พึงเป็นเสียง ดังนี้ ปรวาที เมื่อไม่
เห็นเลศนัยของพระสูตรเช่นนั้น จึงตอบปฏิเสธ. คำว่า ความแผ่ออกไป
แห่งวิตกเป็นเสียงที่พึงรู้ได้ด้วยโสตวิญญาณ
ความว่า สกวาทีทำ
ปัญหาถามว่า เหตุสักว่าการแผ่ออกไปแห่งวิตกนั่นแหละเป็นเสียง ไม่ทำ
ปัญหาถามถึงเสียงอันเกิดขึ้นเพราะความแผ่ออกไปแห่งวิตกของบุคคล
ผู้หลับหรือผู้เผลอสติ ดังนี้ ปรวาทีจึงตอบปฏิเสธ. เพราะลัทธินั้นนั่นแหละ
สกวาทีจึงแสดงคำนี้ว่า ความแผ่ไปแห่งวิตกไม่เป็นเสียงที่พึงรู้ได้ด้วย
โสตวิญญาณ...มิใช่หรือ
ดังนี้ จริงอยู่เขากล่าวซึ่งเหตุสักว่าการแผ่ออก
ไปแห่งวิตกเท่านั้น ว่าเป็นเสียง แต่เสียงนั้นบุคคลไม่พึงรู้ได้ด้วยโสต
วิญญาณ แต่ปรวาทีกล่าวว่า เสียงนั้นพึงรู้ได้ด้วยโสตวิญญาณนั่นแหละ
เพราะพระบาลีว่า บุคคลฟังเสียงอันแผ่ออกไปแห่งวิตกแล้ว เขาย่อม
ทายใจ คือย่อมรู้ถึงใจของผู้อื่นได้ ดังนี้.
อรรถกถาวิตักกวิปผารสัททกถา จบ