เมนู

รูปังกัมมันติกถา



[1242] สกวาที กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นไป เป็นกุศล
หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. เป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก ความผูกใจ ความสนใจ
ความทำไว้ในใจ ความจงใจ ความปรารถนา ความตั้งใจของกายกรรม
นั้นมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. กายกรรมนั้น เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ความ
ผูกใจ ความสนใจ ความทำไว้ในใจ ความจงใจ ความปรารถนา ความ
จงใจ ของกายกรรมนั้น ไม่มี มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า กายกรรมนั้น เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความ
นึก ฯลฯ ความตั้งใจ ของกายกรรมนั้น ไม่มี ก็ต้องไม่กล่าวว่า กายกรรม
ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นไป เป็นกุศล.
[1243] ส. ผัสสะที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิตเป็นกุศล เป็นธรรมมีอารมณ์
ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของผัสสะนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นไป เป็นกุศล เป็น
ธรรม มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของกายกรรมนั้นมีอยู่หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เวทนา ฯลฯ สัญญา เจตนา สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ

ฯลฯ ปัญญา ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นกุศล เป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก
ฯลฯ ความตั้งใจของปัญญานั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล เป็น
ธรรม มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจ ของกายกรรมนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1244] ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล แต่
เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของธรรมนั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ผัสสะที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นกุศล แต่เป็นธรรมไม่มี
อารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของผัสสะนั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล แต่
เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของกายกรรมนั้น ไม่มี
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เวทนา ฯลฯ สัญญา เจตนา สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ
ฯลฯ ปัญญา ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นกุศล แต่เป็นธรรมไม่มีอารมณ์
ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของปัญญานั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1245] ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. รูปที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต ไม่ว่าอย่างใดทั้งหมด เป็น
กุศลหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1246] ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นกุศลหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นไป เป็นกุศลหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ฯลฯ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ ฯลฯ วาโยธาตุ ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต
เป็นกุศลหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1247] ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นอัพยากฤตหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ฯลฯ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ ฯลฯ วาโยธาตุ ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต
เป็นอัพยากฤตหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1248] ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศลที่
ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นกุศลที่ไม่มีอารมณ์
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นไป เป็นกุศลที่
ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ฯลฯ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ ฯลฯ วาโยธาตุ ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต
เป็นกุศลที่ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1249] ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นอัพยากฤตที่ไม่มี
อารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
ที่ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ฯลฯ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ ฯลฯ วาโยธาตุ ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต
เป็นอัพยากฤตที่ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
ที่ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1250] ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล ที่
วิปปยุตด้วยผัสสะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นกุศลที่วิปปยุตด้วย
ผัสสะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล ที่
วิปปยุตด้วยผัสสะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ฯลฯ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ ฯลฯ วาโยธาตุ ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต
เป็นกุศลที่วิปปยุตด้วยผัสสะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1251] ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นอัพยากฤตที่
วิปปยุตด้วยผัสสะ หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
ที่วิปปยุตด้วยผัสสะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ฯลฯ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ ฯลฯ วาโยธาตุ ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต
เป็นอัพยากฤตที่วิปปยุตด้วยผัสสะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
ที่วิปปยุตด้วยผัสสะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1252] ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล
ที่ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นกุศลที่ทั้งวิปปยุต
ด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล ที่
ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ฯลฯ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ ฯลฯ วาโยธาตุ ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต

เป็นกุศลที่ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1253] ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นอัพยากฤตที่ทั้ง
วิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
ที่ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. สัททายนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ฯลฯ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ ฯลฯ วาโยธาตุ ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต
เป็นอัพยากฤตที่ทั้งวิปปุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
ที่ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1254] ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของ
วจีกรรมนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. วจีกรรม เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความ
ตั้งใจ ของวจีกรรมนั้น ไม่มี มิใช่หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า วจีกรรมนั้น เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก
ฯลฯ ความตั้งใจของวจีกรรมนั้น ไม่มี ก็ต้องไม่กล่าวว่า วจีกรรมที่ตั้งขึ้น
ด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล.
[1255] ส. ผัสสะที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นกุศล เป็นธรรมมี
อารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของผัสสะนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล เป็น
ธรรม มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของวจีกรรมนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เวทนา ฯลฯ สัญญา เจตนา สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ
ฯลฯ ปัญญา ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นกุศล เป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก
ฯลฯ ความตั้งใจของปัญญานั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล เป็น
ธรรม มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของวจีกรรมนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1256] ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นไป เป็นกุศล แต่
เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของวจีกรรมนั้น ไม่มี
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ผัสสะที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นกุศล แต่เป็นธรรมไม่มี

อารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของผัสสะนั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นไป เป็นกุศล แต่
เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของวจีกรรมนั้น ไม่มี
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว
ส. เวทนา ฯลฯ สัญญา เจตนา สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ
ฯลฯ ปัญญา ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นกุศล แต่เป็นธรรมไม่มีอารมณ์
ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของปัญญานั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1257] ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นรูป เป็นกุศล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต ไม่ว่าอย่างใดทั้งหมด เป็น
กุศล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
วจีกรรมพึงให้พิสดารอย่างเดียวกับกายกรรม.
[1258] ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก ความผูกใจ ความสนใจ
ความทำไว้ในใจ ความจงใจ ความปรารถนา ความตั้งใจของกายกรรม
นั้น มีอยู่หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. กายกรรมนั้น เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ความ
ผูกใจ ความสนใจ ความทำไว้ในใจ ความจงใจ ความปรารถนา ความ
ตั้งใจ ของกายกรรมนั้น ไม่มี มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า กายกรรมนั้นเป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก
ความผูกใจ ความสนใจ ความทำไว้ในใจ ความจงใจ ความปรารถนา
ความตั้งใจ ของกายกรรมนั้น ไม่มี มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า กายกรรมนั้นเป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก
ความผูกใจ ความสนใจ ความทำไว้ในใจ ความจงใจ ความปรารถนา
ความตั้งใจ ของกายกรรมนั้นไม่มี ก็ต้องไม่กล่าวว่า กายกรรมที่ตั้งขึ้น
ด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล.
[1259] ส. ผัสสะที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอกุศล เป็นธรรมมี
อารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของผัสสะนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
เป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของกายกรรมนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เวทนา ฯลฯ สัญญา เจตนา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ
ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ ฯลฯ อโนตตัปปะ ที่ตั้งขึ้นด้วย
อกุศลจิต เป็นอกุศล เป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของ

อโนตตัปปะนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นไป เป็นอกุศล
เป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจ ของกายกรรมนั้น มีอยู่
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1260] ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
แต่เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของกายกรรมนั้น
ไม่มีหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ผัสสะที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอกุศล แต่เป็นธรรม
ไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของผัสสะนั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
แต่เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของกายกรรมนั้น
ไม่มีหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เวทนา ฯลฯ สัญญา เจตนา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ
ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ ฯลฯ อโนตตัปปะ ที่ตั้งขึ้นด้วย
อกุศลจิต เป็นอกุศล แต่เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจ
ของอโนตตัปปะนั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

[1261] ส. กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต ไม่ว่าอย่างใดทั้งหมด เป็น
อกุศล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1262] ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศล เป็นรูป เป็นอกุศล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของ
วจีกรรมนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. วจีกรรมนั้น เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ
ความตั้งใจของวจีกรรมนั้น ไม่มี มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่าวจีกรรมนั้น เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก
ฯลฯ ความตั้งใจของวจีกรรมนั้น ไม่มี ก็ต้องไม่กล่าวว่า วจีกรรมที่ตั้งขึ้น
ด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล.
[1263] ส. ผัสสะที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอกุศล เป็นธรรม
มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของผัสสะนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
เป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของวจีกรรมนั้น มีอยู่หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เวทนา ฯลฯ สัญญา เจตนา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ
ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ ฯลฯ อโนตตัปปะ ที่ตั้งขึ้นด้วย
อกุศลจิต เป็นอกุศล เป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของ
อโนตตัปปะนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
เป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของวจีกรรมนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1264] ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นไป เป็นอกุศล
แต่เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของวจีกรรมนั้น
ไม่มีหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ผัสสะที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอกุศล แต่เป็นธรรม
ไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของผัสสะนั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
แต่เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจของวจีกรรมนั้น
ไม่มีหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เวทนา ฯลฯ สัญญา เจตนา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ
ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ ฯลฯ อโนตตัปปะที่ตั้งขึ้นด้วย

อกุศลจิต เป็นอกุศล แต่เป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ความนึก ฯลฯ ความตั้งใจ
ของอโนตตัปปะนั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1265] ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต ไม่ว่าอย่างใดทั้งหมด เป็น
อกุศล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1266] ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอกุศล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ น้ำอสุจิ น้ำตา โลหิต ฯลฯ
เหงื่อ ที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอกุศล หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1267] ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอัพยากฤต หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ฯลฯ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ น้ำอสุจิ น้ำตา โลหิต ฯลฯ
เหงื่อ ที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอัพยากฤต หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1268] ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
ที่ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
ที่ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
ที่ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ฯลฯ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ ฯลฯ วาโยธาตุ น้ำอสุจิ น้ำตา
โลหิต ฯลฯ เหงื่อ ที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอกุศลที่ไม่มีอารมณ์หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1269] ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอัพยากฤตที่

ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศล เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
ที่ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ น้ำอสุจิ น้ำตา โลหิต ฯลฯ เหงื่อ
ที่เกิดขึ้นด้วยอกุศล เป็นอัพยากฤตที่ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
ที่ไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1270] ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
ที่วิปปยุตด้วยผัสสะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปายตนะที่ตั้ง ขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอกุศลที่วิปปยุต
ด้วยผัสสะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
ที่วิปปยุตด้วยผัสสะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ

ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ ฯลฯ วาโยธาตุ น้ำอสุจิ น้ำตา โลหิต ฯลฯ
เหงื่อ ที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอกุศลที่วิปปยุตด้วยผัสสะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1271] ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอัพยากฤตที่
ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
ที่ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ น้ำอสุจิ น้ำตา โลหิต ฯลฯ เหงื่อ
ที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอัพยากฤตที่วิปปยุตด้วยผัสสะไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
ที่ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1272] ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศล
ที่ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอกุศลที่ทั้งวิปปยุต
ด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอกุศลที่
ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ฯลฯ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ น้ำอสุจิ น้ำตา โลหิต ฯลฯ
เหงื่อ ที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอกุศล ที่ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มี
อารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1273] ป. รูปายตนะที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นอัพยากฤต ที่
ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
ที่ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. สัททายตนะ ฯลฯ คันธาย รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ น้ำอสุจิ น้ำตา โลหิต ฯลฯ
เหงื่อ ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต เป็นอัพยากฤตที่ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มี
อารมณ์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วจีกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต เป็นรูป เป็นอัพยากฤต
ที่ทั้งวิปปยุตด้วยผัสสะ ทั้งไม่มีอารมณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

[1274] ป. ไม่พึงกล่าวว่า รูป เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. กายกรรม วจีกรรม เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง
มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. หากว่า กายกรรม วจีกรรม เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศล
บ้าง ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า รูป เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศล
บ้าง.
[1275] ส. รูป เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. จักขายตนะ เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. รูป เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. โสตายตนะ ฯลฯ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ
รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ น้ำอสุจิ น้ำตา โลหิต ฯลฯ
เหงื่อ เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1276] ส. กายเป็นรูป กายกรรมเป็นรูป หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. มโน เป็นรูป มโนกรรมก็เป็นรูป หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1277] ส. มโน เป็นอรูป คือนาม มโนกรรมก็เป็นอรูป หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กาย เป็นอรูป กายกรรมก็เป็นอรูป หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1278] ส. กาย เป็นรูป แต่กายกรรมเป็นอรูป หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. มโน. เป็นรูป แต่มโนกรรมเป็นอรูป หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1279] ส. มโน เป็นอรูป มโนกรรมก็เป็นอรูป หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กาย เป็นอรูป กายกรรมก็เป็นอรูป หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1280] ส. เพราะกายเป็นไป ฉะนั้น กายกรรมจึงเป็นไปหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพราะจักขายตนะ เป็นรูป ฉะนั้น จักขุวิญญาณ จึง
เป็นไป หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เพราะกายเป็นไป ฉะนั้น กายกรรมจึงเป็นรูป หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพราะโสตายตนะ เป็นรูป ฉะนั้น โสตวิญญาณ จึง
เป็นรูป หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เพราะกายเป็นรูป ฉะนั้น กายกรรมจึงเป็นรูป หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพราะฆานายตนะเป็นรูป ฉะนั้น ฆานวิญญาณ จึง
เป็นรูป หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เพราะกายเป็นรูป ฉะนั้น กายกรรมจึงเป็นรูป หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพราะชิวหายตนะเป็นรูป ฉะนั้น ชิวหาวิญญาณ จึง
เป็นรูป หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เพราะกายเป็นรูป ฉะนั้น กายกรรมจึงเป็นรูป หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพราะกายายตนะเป็นรูป ฉะนั้น กายวิญญาณ จึง
เป็นรูป หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1281] ส. รูป เป็นกรรม หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึงทำกรรมด้วยกาย วาจา ใจ
ดังนี้1 เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?

1. องฺ. ฉกฺก. 22/334.

ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นกรรม
[1282] ส. รูป เป็นกรรม หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนอานนท์ เมื่อ
กายมีอยู่ สุขทุกข์อันเป็นภายในย่อมเกิดขึ้นเพราะกายสัญเจตนาเป็นเหตุ
หรือเมื่อวาจามีอยู่ สุขทุกข์อันเป็นภายในย่อมเกิดขึ้นเพราะวจีสัญเจตนา
เป็นเหตุ หรือเมื่อใจมีอยู่ สุขทุกข์อันเป็นภายในย่อมเกิดขึ้นเพราะ
มโนสัญเจตนาเป็นเหตุ
ดังนี้1 เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า รูป เป็นกรรม
[1283] ส. รูป เป็นกรรม หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กายสัญเจตนา 3 อย่าง เป็นกายกรรมฝ่ายอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์
เป็นวิบาก วจีสัญเจตนา 4 อย่าง เป็นวจีกรรมฝ่ายอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร
มีทุกข์เป็นวิบาก มโนสัญเจตนา 3 อย่าง เป็นมโนกรรมฝ่ายอกุศล มี
ทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายสัญเจตนา 3
อย่าง เป็นกายกรรมฝ่ายกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก วจีสัญเจตนา
4 อย่าง เป็นวจีกรรมฝ่ายกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก มโนสัญเจตนา


1. สํ.นิ. 16/83.

3 อย่าง เป็นมโนกรรมฝ่ายกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก ดังนี้
เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า รูป เป็นกรรม
[1284] ส. รูป เป็นกรรม หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนอานนท์
ถ้าสมิทธิ ผู้โมฆบุรุษนี้ ถูกปาตลิบุตรปริพาชกถามอย่างนี้ ควรพยากรณ์
อย่างนี้ว่า อาวุโส ปาตลิบุตร บุคคลทำกรรมอันเป็นไปด้วยสัญเจตนา
ด้วยกาย วาจา ใจ เป็นกรรมที่จะให้ได้เสวยความสุขแล้ว เขาย่อมจะได้
เสวยความสุข บุคคลทำกรรมอันเป็นไปด้วยสัญเจตนาด้วยกาย วาจา ใจ
เป็นกรรมที่จะให้ได้เสวยความทุกข์แล้ว เขาย่อมจะได้เสวยความทุกข์
บุคคลทำกรรมอันเป็นไปด้วยสัญเจตนาด้วยกาย วาจา ใจ เป็นกรรม
ที่จะให้ได้เสวยเวทนาอันมิใช่ทุกข์มิใช่สุขแล้ว เขาย่อมจะได้เสวยเวทนา
อันมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ดูก่อนอานนท์ สมิทธิ ผู้โมฆบุรุษ เมื่อพยากรณ์
อย่างนี้แล้ว ชื่อว่า พึงพยากรณ์โดยชอบแก่ปาตลิบุตรปริพาชก
ดังนี้1
เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า รูป เป็นกรรม.
รูปังกัมมันติกถา จบ

1. ม.อุ. 14/602.

อรรถกถารูปังกัมมันติกถา



ว่าด้วยคำว่า รูปเป็นกรรม



บัดนี้ ชื่อว่าเรื่องรูปเป็นกรรม (กรรมคือการกระทำ). ในเรื่องนั้น
ชนเหล่านั้นมีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายมหิสาสกะและสมิติยะทั้งหลาย
ว่า กายวิญญัติรูปและรูปและวจีวิญญัตติรูปนั่นเทียว ชื่อว่ากายกรรมและ
วจีกรรม ก็รูปนั้นมีกุศลเป็นสมุฏฐานย่อมเป็นกุศล รูปนั้นมีอกุศลเป็น
สมุฏฐานก็ย่อมเป็นอกุศล ดังนั้น คำถามของสกวาทีว่า กายกรรมที่
ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิตเป็นรูป เป็นกุศลหรือ
ดังนี้ หมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบ
รับรองเป็นของปรวาที. ลำดับนั้น สกวาที เพื่อท้วงปรวาทีนั้นด้วยคำว่า
ถ้ารูปนั้นเป็นกุศลไซร้ รูปนั้นก็พึงมีอารมณ์ได้ ดังนี้ จึงเริ่มคำว่า รูป
เป็นธรรมมีอารมณ์หรือ
เป็นต้น.
ในปัญหานั้น คำว่า ความปรารถนา คือปตฺถนา ความตั้งใจ คือปณิธิ
นี้ เป็นไวพจน์ คือเป็นคำแทนชื่อกัน ของความจงใจ คือเจตนา นั่นแหละ.
จริงอยู่เมื่อนึกถึงกุศล เจตนานั่นแหละ ท่านเรียกว่า ความปรารถนา
และเรียกว่า ความตั้งใจ เพราะตั้งไว้ด้วยอำนาจแห่งความนึกถึง. อนึ่ง
ในข้อว่า เวทนา สัญญา เจตนา สัทธา เป็นต้น ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิต
ข้างหน้า คำว่า เจตนาคือความจงใจ ความปรารถนา ความตั้งใจ ย่อม
มีแก่เวทนาเป็นต้น ย่อมไม่มีแก่เจตนา. ถามว่า เพราะเหตุไร ? แก้ว่า
เพราะความไม่มีเจตนาทั้ง 2 ดวงรวมเป็นดวงเดียวกัน. อนึ่ง บัณฑิต
พึงทราบแบบแผนอย่างนี้ เพราะความที่เจตนานั้นเป็นธรรมชาติตกไป
สู่กระแส.