เมนู

เพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่ และข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์ โดยสัจฉิ-
กัตถปรมัตถะ, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่ง
เห็นอัญญาตาวินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่
และข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึง
กล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด ฯ ล ฯ
โอปัมมสังสันทนา จบ

อรรถกถาโอปัมมสังสันทนา


ว่าด้วยการเทียบเคียงสัจฉิกัตถะด้วยความอุปมา


บัดนี้ ชื่อว่าเป็นการเทียบเคียงสัจฉิกัตถะด้วยสามารถแห่งการ
เปรียบกับธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้นนั่นแหละ บรรดาคำเหล่านั้นแม้
ทั้ง 2 คำถาม คือ คำถามถึงความที่รูปและเวทนาเป็นคนละอย่างด้วย
ความเห็นทั่วไปอย่างหนึ่ง คำถามที่ถามถึงความเห็นทั่วไปของบุคคลกับ
รูปอย่างหนึ่ง เป็นของสกวาที. คำตอบรับรองแม้ทั้ง 2 ปัญหา เป็น
ของปรวาที. คำซักถามถึงความเป็นคนละอย่างของรูปกับบุคคล ดุจรูป
กับเวทนาด้วยความเห็นทั่วไปที่ปรวาทีไม่เห็นด้วย เป็นของสกวาที. คำ
ปฏิเสธเป็นของปรวาที. คำที่เหลือแม้ในที่นี้ชัดเจนแล้วโดยอรรถนั่น
เทียว. ก็เมื่อว่าโดยธรรมแล้ว ในข้อนี้ในฝ่ายสกวาทีท่านแสดงนิคคห-
ปัญจกะ คือหมวด 5 แห่งนิคคหะ ไว้ถึง 920 นัย ด้วยสามารถ

แห่งความหมุนไปซึ่งธรรมมีรูปเป็นมูละเป็นต้น. ถามว่า " แสดง
อย่างไร " ตอบว่า ในขันธ์ทั้งหลายก่อน คือธรรมที่เป็นรูปเป็นมูละ
หมุนไปได้ 4 นัย ในเวทนามูละเป็นต้นก็เหมือนกัน รวมเป็น 20 นัย
(4 x 5 = 20). ในอายตนะทั้งหลาย จักขายตนะมูละหมุนไปได้ 11 นัย
ในอายตนะที่เหลือก็ฉันนั้น รวมเป็น 132 นัย (11 x 12 = 132 ).
ในธาตุทั้งหลาย จักขุธาตุมูละหมุนไปได้ 17 นัย ในธาตุที่เหลือก็ฉัน
นั้น รวมเป็น 306 นัย ( 17 x 18 = 306 ). ในอินทรีย์ทั้งหลาย
จักขุนทริยมูละหมุนไปได้ 21 นัย ในอินทรีย์ที่เหลือก็ฉันนั้น รวม
เป็น 462 นัย (21 x 22 = 462) รวมทั้งหมดเป็นนิคคหปัญจกะ
920 นัย ด้วยประการฉะนี้. แม้ในฝ่ายปรวาที ท่านก็ทำให้สกวาที
รับคำถึงความเป็นคนละอย่างแห่งธรรมทั้งหลายมีรูปกับเวทนาเป็นต้น
ด้วยสามารถแห่งอนุโลมว่า รูปํ อุปลพฺภติ แปลว่า ท่านหยั่ง
เห็นรูป เป็นต้น แล้วจึงยกเอาความเห็นทั่วไปขึ้นทำการซักถามถึงความ
เป็นคนละอย่างด้วยธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้นกับบุคคล ด้วยสามารถ
แห่งคำอันมีเลศนัยเพราะอาศัยพระสูตรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
บุคคลมีอยู่ อีก. คำที่เหลือแม้ในที่นี้ เป็นของง่ายโดยเนื้อความ
ทั้งนั้น. เมื่อว่าโดยธรรมท่านแสดงปฏิกัมมจตุกกะ คือ หมวด 4 แห่ง
ปฏิกรรม ไว้ 920 นัย โดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในฝ่ายสกวาที. การ
เทียบเคียงสัจฉิกัตถะกับรูปเป็นต้นด้วยสามารถแห่งการอุปมามีประมาณ
เท่านี้.
อรรถกถาโอปัมมสังสันทนา จบ

จตุกกนยสังสันทนา


[50] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปเป็นบุคคลหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนี้.
ส. ท่านจงรับรู้นิคคหะ, หากว่าท่านหยั่งเห็นบุคคล
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า รูปเป็นบุคคล,
ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดย
สัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นบุคคล ดังนี้ ผิด, แต่ถ้า
ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นบุคคล ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้า
หยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นบุคคล
ดังนี้ ผิด ฯ ล ฯ
[51] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลในรูปหรือ ฯ ล ฯ บุคคลอื่นจากรูปหรือ ? ฯ ล ฯ
รูปในบุคคลหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
ส. ท่านจงรับรู้นิคคหะ, หากว่าท่านหยั่งเห็นบุคคล
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า รูปในบุคคล,
ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดย