เมนู

ปัจจุปปันนญาณกถา


[1073] สกวาที ความรู้ในปัจจุบันคือสภาวะที่เกิดขึ้นเฉพาะ
หน้า มีอยู่หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. บุคคลรู้ความรู้นั้นได้ด้วยความรู้นั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. บุคคลรู้ความรู้นั้นได้ด้วยความรู้นั้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลรู้ความรู้นั้นว่าความรู้ ด้วยความรู้นั้น
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลรู้ความรู้นั้นว่าความรู้ ได้ด้วยความรู้นั้น
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความรู้นั้น เป็นอารมณ์แห่งความรู้นั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ความรู้นั้น เป็นอารมณ์แห่งความรู้นั้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลถูกต้องผัสสะนั้นได้ด้วยผัสสะนั้น เสวย
เวทนานั้นได้ด้วยเวทนานั้น จำสัญญานั้นได้ด้วยสัญญานั้น ตั้งเจตนา

นั้นได้ด้วยเจตนานั้น คิดจิตนั้นได้ด้วยจิตนั้น ตรึกวิตกนั้นได้ด้วยวิตก
นั้น ตรองวิจารนั้นได้ด้วยวิจารนั้น ดื่มปีตินั้นได้ด้วยปีตินั้น ระลึก
สตินั้นได้ด้วยสตินั้น ทราบชดปัญญานั้นได้ด้วยปัญญานั้น ตัดขันธ์นั้น
ได้ด้วยขันธ์นั้น ถากขวานนั้นได้ด้วยขวานนั้น ถากผึ่งนั้นได้ด้วยผึ่งนั้น
ถากมีดนั้นได้ด้วยมีดนั้น เย็บเข็มนั้นได้ด้วยเข็มนั้น ลูบคลำปลายองคุลี
นั้นได้ด้วยปลายองคุลีนั้น ลูบคลำปลายนาสิกนั้นได้ด้วยปลายนาสิกนั้น
ลูบคลำกระหม่อมนั้นได้ด้วยกระหม่อมนั้น ล้างคูถนั้นได้ด้วยคูถนั้น ล้าง
มูตรนั้นได้ด้วยมูตรนั้น ล้างเขฬะนั้นได้ด้วยเขฬะนั้น ล้างหนองนั้น
ได้ด้วยหนองนั้น ล้างเลือดนั้นได้ด้วยเลือดนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1074] ป. ไม่พึงกล่าวว่า ความรู้ในปัจจุบันมีอยู่ หรือ ?
ถูกแล้ว.
ป. เมื่อพระโยคาวจรเห็นสังขารทั้งปวง โดยความ
เป็นของไม่เที่ยงแล้ว แม้ความรู้นั้น ก็เป็นพระโยคาวจรนั้นได้เห็น
โดยความเป็นของไม่เที่ยงด้วย มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า เมื่อพระโยคาวจรเห็นสังขารทั้งปวง
โดยความเป็นของไม่เที่ยงแล้ว แม้ความรู้นั้นก็เป็นอันพระโยคาวจรนั้น
ได้เห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงด้วย ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า
ความรู้ในปัจจุบันมีอยู่.
ปัจจุปปันนญาณกถา จบ

อรรถกถาปัจจุปปันนญาณกถา


ว่าด้วยความรู้ในปัจจุบัน


บัดนี้ ชื่อว่า เป็นเรื่องปัจจุบันนญาณ คือความรู้ในปัจจุบัน.
ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดมีความเห็นผิด ดุจลัทธิของนิกายอันธกะทั้งหลาย
ว่า ญาณในปัจจุบันทั้งปวงมีอยู่โดยไม่แปลกกัน เพราะอาศัยพระบาลี
ว่า เมื่อเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง ญาณแม้นั้น ย่อม
ชื่อว่าเป็นญาณอันบุคคลนั้นเห็นแล้วโดยความเป็นของไม่เที่ยง ดังนี้
สกวาทีหมายถึงชนเหล่านั้น จึงถามว่า ความรู้ในปัจจุบัน เป็นต้น
คำรับรองเป็นของปรวาที. ลำดับนั้น สกวาทีจึงกล่าวซักถามปรวาทีนั้น
ด้วยคำว่า บุคคลรู้ความรู้นั้นได้ด้วยความรู้นั้น หรือ เพื่อท้วง
ว่า ผิว่า ญาณในปัจจุบันมีโดยไม่แปลกกันแล้ว บุคคลก็พึงรู้ญาณแม้
ในปัจจุบันขณะ ด้วยญาณนั้นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ญาณทั้ง 2 ก็ไม่ใช่
ญาณอันเดียวกัน บุคคลจะพึงรู้ญาณนั้นด้วยญาณนั้นได้อย่างไร.
ในปัญหาเหล่านั้นปัญหาที่ 1 ปรวาทีปฏิเสธว่า ไม่อาจรู้
ญาณนั้นด้วยญาณนั้นได้. ในปัญหาที่ 2 ปรวาทีตอบรับรอง หมาย
เอาการสืบต่อ. ปัญหานั้น อธิบายว่า เมื่อบุคคลเห็นอยู่ซึ่งความแตกดับ
ไปแห่งสังขารทั้งหลายโดยลำดับ บุคคลนั้นชื่อว่าย่อมเห็นภังคานุปัส-
สนาญาณได้ด้วยภังคานุปัสสนาญาณนั้นนั่นแหละ. แม้ในคำทั้งหลาย
คำว่า บุคคลรู้ความรู้นั้นได้ด้วยความรู้นั้น หรือ เป็นต้น ก็นัยนี้.