เมนู

ส. ถูกแล้ว.
ป. หากว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบได้ว่า
บุคคลนี้จักก้าวลงสู่ทางอันแน่นอนเพื่อความชอบ บุคคลนี้เป็นผู้ควร
เพื่อจะตรัสรู้ธรรม ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงกล่าวว่า บุคคลผู้ไม่แน่นอน
มีญาณเพื่อไปสู่ทางอันแน่นอน.
นิยามกถา จบ

อรรถกถานิยามกถา


ว่าด้วยนิยาม


บัดนี้ ชื่อว่า เรื่องนิยาม คือทางอันแน่นอนได้แก่ อริยมรรค.
ในเรื่องนั้นชนเหล่าใด มีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายอุตตราปถกะ
ทั้งหลายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบว่า บุคคลใดจักหยั่งลง
สู่สัมมัตตนิยาม คือมรรคอันถูกต้อง บุคคลนั้นควรเพื่อจะตรัสรู้ธรรมนั้น
เหตุใด เพราะเหตุนั้น ญาณเพื่อการบรรลุนิยาม คือทางอันแน่นอน
ของอนิยตบุคคลผู้เป็นปุถุชนนั่นแหละมีอยู่ ดังนี้ คำถามว่า อนิยต
คือบุคคลผู้ไม่แน่นอน
เป็นต้น ของพระสกวาทีหมายถึงชนเหล่านั้น.
คำว่า เพื่อไปสู่ทางอันแน่นอน ในปัญหานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงตรัสเรียกมรรคว่านิยาม อธิบายว่า เพื่อการบรรลุมรรค เพื่อการ
หยั่งลงสู่มรรค. ก็คำว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบว่า บุคคลนี้
ควรเพื่อบรรลุนิยาม เพราะเห็นญาณอันใดของบุคคลนั้น พระปรวาที
หมายญาณนั้น จึงตอบรับรอง. ลำดับนั้น สกวาทีเพื่อแสดงว่า วาทะ

ของปรวาทีนั้นไม่ถูกต้อง1 จึงซักถามถึงเนื้อความอันตรงกันข้าม ด้วยคำ
ว่า บุคคลผู้แน่นอน เป็นต้น.
บรรดาปัญหาเหล่านั้น ในปัญหาแรก ปรวาทีตอบปฏิเสธเพราะ
ชื่อว่าญาณเพื่อการบรรลุนิยามของบุคคลผู้แน่นอนไม่มีด้วยมรรค. ใน
ปัญหาที่ 2 ย่อมตอบรับรองเพราะความไม่มี. ปัญหาที่ 3 ตอบปฏิเสธ
เพราะถูกถามด้วยคำว่า ผู้ไม่แน่นอนไม่มีญาณเพื่อไปสู่ทางอันแน่
นอน
โดยผิดจากลัทธิ สกวาทีทำปัญหาแรกนั่นแหละให้เป็นปัญหา
ที่ 4 อีก แล้วทำ 3 ปัญหาของนิยตบุคคลด้วยสามารถแห่งการบรรลุ
นิยามเป็นต้น. ในปัญหาเหล่านั้น ปัญหาที่ 1 ปรวาทีตอบปฏิเสทเพราะ
ญาณ เพื่อการบรรลุนิยามนั้นอีกของนิยตบุคคลไม่มีด้วยมรรคต้น. ใน
ปัญหาที่ 2 ตอบรับรองเพราะความไม่มีนั้นแหละ. ในปัญหาที่ 3 ย่อม
ตอบปฏิเสธเพราะผิดจากลัทธิ. สกวาทีทำปัญหาแรกนั่นแหละให้เป็น
ปัญหาที่ 8 อีก แล้วทำ 3 ปัญหาของอนิยตบุคคลด้วยสามารถแห่งการ
ไม่บรรลุนิยามเป็นต้น. บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งปัญหาเหล่านั้น
โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. สกวาทีทำปัญหาแรกนั่นแหละให้เป็น
ปัญหาที่ 12 อีก แล้วทำ 3 ปัญหามีคำว่า มีทางอันแน่นอน เป็น
ต้นจากมูลนั้น. ในปัญหาทั้งหลายเหล่านั้น มัคคญาณเท่านั้น ชื่อว่า
ญาณเพื่อไปสู่ทางอันแน่นอน เหตุใด เพราะเหตุนั้น สกวาทีหมายญาณ
1. บาลีอรรถกถาไทย ใช้คำว่า อยุตฺตนฺติ หมายถึง คำไม่ถูกต้อง ของพม่า ใช้
คำว่า อยุตฺตวาทีตีติปิ หมายถึง มีวาทะอันไม่ถูกต้องคือใช้ได้ด้วยกันทั้ง 2 นัย

นั้น จึงว่า มีทางอันแน่นอน ดังนี้ ครั้นเมื่อคำว่า มีทางอันแน่
นอนอันสกวาทีกล่าวแล้ว ปรวาทีก็ตอบปฏิเสธ. เมื่อสกวาทีกล่าวว่า
มีญาณ ปรวาทีก็ตอบรับรอง. แม้ในคำทั้งหลายมีคำว่า สติปัฏฐาน
เป็นต้น ก็นัยนี้. คำปัจจนิก มีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล. คำว่า โคตรภู-
บุคคล
เป็นต้น สกวาทีกล่าวเพื่อแสดงว่า ญาณใดอันบุคคลใดไม่
บรรลุแล้ว ญาณนั้นของบุคคลนั้นย่อมไม่มี. คำว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงทราบ
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบด้วย
ญาณพละของพระองค์เอง ไม่ใช่ทรงทราบจากสภาพการบรรลุนิยาม
ธรรมของผู้นั้น เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุนี้ ปรวาทีแม้ตั้งลัทธิไว้แล้วก็
ตั้งอยู่ไม่ได้เลย ดังนี้แล.
อรรถกถานิยามกถา จบ

ปฏิสัมภิทากถา


[1059] สกวาที ความรู้ทั้งปวงเป็นปฏิสัมภิทา หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. ความรู้สมมติเป็นปฏิสัมภิทา หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ความรู้สมมติเป็นปฏิสัมภิทา หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งรู้สมมติ ชนเหล่านั้นทั้ง-
หมดเป็นผู้ถึงปฏิสัมภิทาแล้ว หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ความรู้ทั้งปวงเป็นปฏิสัมภิทา หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความรู้ในการกำหนดรู้ใจผู้อื่น เป็นปฏิสัมภิทา
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ความรู้ในการกำหนดใจผู้อื่น เป็นปฏิสัมภิทา
ป. ถูกแล้ว.
ส. ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งรู้จิตของบุคคลอื่น ชน
เหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้ถึงปฏิสัมภิทาแล้ว หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ