เมนู

โอปัมมสังสันทนา


[26] ส. ท่านหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็น
เวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่ง
เห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
ส. ท่านจงรับรู้นิคคหะ, หากว่าท่านหยั่งเห็นรูปโดย
สัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ รูปเป็นอื่น
เวทนาก็เป็นอื่น ( อย่างเดียว ) ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะด้วยเหตุนั้นนะท่าน จึงต้องกล่าวว่า
รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิ-
กัตถปรมัตถะ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดย
สัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึงกล่าวว่า
รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด, แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็น
อื่น บุคคลก็เป็นอื่น ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิ-
กัตถปรมัตถะดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะรูปเป็นอื่น เวทนา

ก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นรูป
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูป
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ รูปเป็น
อื่น เวทนาก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจ
หยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคล
ก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด ฯ ล ฯ
[27] ส. ท่านหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็น
สัญญาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นสังขาร ฯ ล ฯ ดุจหยั่ง
เห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ รูปเป็นอื่น วิญญาณก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่ง
เห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
ส. ท่านจงรับรู้นิคคหะ, หากว่า ท่านหยั่งเห็นรูป
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ รูปเป็น
อื่น วิญญาณก็เป็นอื่น (อย่างเดียวกัน ) ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิ-
กัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ด้วยเหตุนั้นนะท่าน
จึงต้องกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้น
ว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่ง

เห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ รูปเป็นอื่น วิญญาณก็เป็นอื่น
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ แต่ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด,
แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ก็ต้องไม่กล่าวว่า
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิ-
กัตถปรมัตถะ รูปเป็นอื่น วิญญาณก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเป็นบุคคล
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ, ที่ท่านกล่าว
ในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ รูปเป็นอื่น วิญญาณก็เป็นอื่น
ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิ-
กัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้
ผิด ฯ ล ฯ
[28] ส. ท่านหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่ง
เห็นสัญญา ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นสังขาร ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณ ฯ ล ฯ
ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ เวทนาเป็นอื่น รูปก็เป็นอื่น
หรือ ฯ ล ฯ
[29] ท่านหยั่งเห็นสัญญาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็น
สังขาร ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นรูป ฯ ล ฯ
ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ สัญญาเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น
หรือ ? ฯ ล ฯ

[30] ส. ท่านหยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่ง
เห็นวิญญาณ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นรูป ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นเวทนา ฯ ล ฯ
ดุจหยั่งเห็นสัญญาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ สังขารเป็นอื่น สัญญาก็เป็นอื่น
หรือ ? ฯ ล ฯ
[31] ส. ท่านหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะดุจหยั่ง
เห็นรูป ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นเวทนา ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นสัญญา ฯ ล ฯ
ดุจหยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ วิญญาณเป็นอื่น สังขารก็เป็น
อื่น หรือ ? ฯ ล ฯ
ป. ถูกแล้ว.
ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่ง
เห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วิญญาณเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
ส. ท่านจงรับรู้นิคคหะ, หากว่าท่านหยั่งเห็นวิญญาณ
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ วิญญาณ
เป็นอื่น สังขารก็เป็นอื่น อย่างเดียวกัน ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิ-
กัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ด้วยเหตุนั้นนะ
ท่านจึงต้องกล่าวว่า วิญญาณเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ที่ท่านกล่าวใน
ปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นสังขาร โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ วิญญาณเป็นอื่น

สังขารก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่ง
เห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึงกล่าวว่า วิญญาณเป็นอื่น
บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด, แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า วิญญาณเป็นอื่น
บุคคลก็เป็นอื่น ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิ-
กัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ วิญญาณเป็นอื่น
สังขารก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่ง
เห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าว
ได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะดุจหยั่งเห็นสังขาร
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ วิญญาณเป็นอื่น สังขารก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่ง
เห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
แต่ไม่พึงกล่าวว่า วิญญาณเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด ฯ ล ฯ
[32] ส. ท่านหยั่งเห็นจักขายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจ
หยั่งเห็นโสตายตนะ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นธัมมายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
จักขายตนะเป็นอื่น ธัมมายตนะก็เป็นอื่น หรือ ? ฯ ล ฯ
[33] ส. ท่านหยั่งเห็นโสตายตนะ ฯ ล ฯ ท่านหยั่งเห็น
ธัมมายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นจักขายตนะ ฯ ล ฯ ดุจ
หยั่งเห็นมนายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ธัมมายตนะเป็นอื่น มนาย-
ตนะก็เป็นอื่น หรือ ? ฯ ล ฯ
[34] ส. ท่านหยั่งเห็นจักขุธาตุโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจ
หยั่งเห็นโสตธาตุ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นธัมธาตุ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
จักขุธาตุเป็นอื่น ธัมธาตุก็เป็นอื่น หรือ ? ฯ ล ฯ

[35] ส. ท่านหยั่งเห็นโสตธาตุ ฯ ล ฯ ท่านหยั่งเห็นธัม
ธาตุโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นจักขุธาตุ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็น
มโนวิญญาณธาตุโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ธัมธาตุเป็นอื่น มโนวิญญาณ-
ธาตุ ก็เป็นอื่น หรือ ? ฯลฯ
[36] ส. ท่านหยั่งเห็นจักขุนทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจ
หยั่งเห็นโสตินทรีย์ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ จักขุนทรีย์เป็นอื่น อัญญาตาวินทรีย์ก็เป็นอื่น หรือ ? ฯ ล ฯ
[37] ส. ท่านหยั่งเห็นโสตินทรีย์ ฯ ล ฯ ท่านหยั่งเห็น
อัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นจักขุนทรีย์ ฯ ล ฯ
ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น
อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่ง
เห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
ส. ท่านจงรับรู้นิคคหะ, หากว่า ท่านหยั่งเห็นอัญญา-
ตาวินทรีย์โดยสัจฉิกกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น อย่างเดียว
กัน ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นอัญญาตา-

วินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า
อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า
พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น
อัญญินทรีย์เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่
ไม่พึงกล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด,
แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ก็ต้อง
ไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจ
หยั่งเห็นอัญญินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ, อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น
อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจ
หยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ, ที่ท่านกล่าวในปัญหา
นั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ อัญญาตาวินทรีย์
เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึง
กล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด ฯ ล ฯ
[38] ป. ท่านหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็น
เวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติ
เพื่อเกื้อกูลตนมีอยู่ และท่านก็หยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?

ส. ถูกแล้ว.
ป. รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
ป. ท่านจงรับรู้ปฏิกรรม หากว่า ท่านหยั่งเป็นรูป
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ รูปเป็น
อื่น เวทนาก็เป็นอื่น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติ
เพื่อเกื้อกูลตนมีอยู่
และท่านก็หยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ด้วย
เหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า รูปเป็นอื่นบุคคลก็เป็นอื่น ที่ท่านกล่าว
ในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตนมีอยู่
และข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็น
อื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด, แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น
บุคคลก็เป็นอื่น ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ รูปเป็นอื่น เวทนา
ก็เป็นอื่น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูล
ตนมีอยู่
และข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ที่ท่านกล่าวใน
ปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคล
ผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตนมีอยู่
และข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะแต่ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด ฯ ล ฯ

[39] ป. ท่านหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็น
สัญญา ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นสังขาร ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดย
สัจฉิกัตถปรมัตถะ รูปเป็นอื่น วิญญาณก็เป็นอื่น หรือ ? ฯ ล ฯ
[40] ป. ท่านหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่ง
เห็นสัญญา ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นสังขาร ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณ ฯ ล ฯ
ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ เวทนาเป็นอื่น รูปก็เป็นอื่นหรือ ?
ฯ ล ฯ
[41] ป. ท่านหยั่งเห็นสัญญาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่ง
เห็นสังขาร ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นรูป ฯ ล ฯ
ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ สัญญาเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น
หรือ ? ฯ ล ฯ
[42] ป. ท่านหยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่ง
เห็นวิญญาณ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นรูป ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นเวทนา ฯ ล ฯ
ดุจหยั่งเห็นสัญญาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ สังขารเป็นอื่น สัญญาก็เป็นอื่น
หรือ ? ฯ ล ฯ
[43] ป. ท่านหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะดุจหยั่ง
เห็นรูป ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นเวทนา ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นสัญญา ฯ ล ฯ
ดุจหยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ วิญญาณเป็นอื่น สังขารก็เป็น
อื่น หรือ ? ฯ ล ฯ
[44] ป. ท่านหยั่งเห็นจักขายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจ
หยั่งเห็นโสตายตนะ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นธัมมายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ

จักขายตนะเป็นอื่น ธัมมายตนะก็เป็นอื่น หรือ ? ฯ ล ฯ
[45] ป. ท่านหยั่งเห็นโสตายนะ ฯ ล ฯ ธัมมายตนะโดย
สัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นจักขายตนะ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นมนายตนะ
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ธัมมายตนะเป็นอื่น มนายตนะก็เป็นอื่น หรือ ?
ฯ ล ฯ
[46] ป. ท่านหยั่งเห็นจักขุธาตุ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจ
หยั่งเห็นโสตธาตุ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นธัมธาตุ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
จักขุธาตุเป็นอื่น ธัมธาตุก็เป็นอื่น หรือ ? ฯ ล ฯ
[47] ป. ท่านหยั่งเห็นโสตธาตุ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ฯ ล ฯ
ท่านหยั่งเห็นธรรมธาตุโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นจักขุธาตุ ฯ ล ฯ
ดุจหยั่งเห็นมโนวิญญาณธาตุโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ธัมธาตุเป็นอื่น
มโนวิญญาณธาตุก็เป็นอื่น หรือ ? ฯ ล ฯ
[48] ป. ท่านหยั่งเห็นจักขุนทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจ
หยั่งเห็นโสตินทรีย์ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ จักขุนทรีย์เป็นอื่น อัญญาตาวินทรีย์ก็เป็นอื่น หรือ ? ฯ ล ฯ
[49] ป. ท่านหยั่งเห็นโสตินทรีย์ ฯ ล ฯ อัญญาตาวินทรีย์
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นจักขุนทรีย์ ฯ ล ฯ ดุจหยั่งเห็น
อัญญินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ อัญญาตาวินทีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์
ก็เป็นอื่น หรือ ฯ ล ฯ
ส. ถูกแล้ว.

ป. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติ
เพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่ และท่านก็หยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
ป. ท่านจงรับรู้ปฏิกรรม, หากว่า ท่านหยั่งเห็น
อัญญาตาวินทริย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์ โดย
สัจฉิกัตถปรมัตถะ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่
และท่านก็หยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ด้วยเหตุ
นั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น,
ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตา-
วินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์
ก็เป็นอื่น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูล
ตน มีอยู่
และข้าพเจ้าก็หยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
แต่ไม่พึงกล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด,
แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ก็ต้องไม่
กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจ
หยั่งเห็นอัญญินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น
อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติ

เพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่ และข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์ โดยสัจฉิ-
กัตถปรมัตถะ, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่ง
เห็นอัญญาตาวินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่
และข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึง
กล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด ฯ ล ฯ
โอปัมมสังสันทนา จบ

อรรถกถาโอปัมมสังสันทนา


ว่าด้วยการเทียบเคียงสัจฉิกัตถะด้วยความอุปมา


บัดนี้ ชื่อว่าเป็นการเทียบเคียงสัจฉิกัตถะด้วยสามารถแห่งการ
เปรียบกับธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้นนั่นแหละ บรรดาคำเหล่านั้นแม้
ทั้ง 2 คำถาม คือ คำถามถึงความที่รูปและเวทนาเป็นคนละอย่างด้วย
ความเห็นทั่วไปอย่างหนึ่ง คำถามที่ถามถึงความเห็นทั่วไปของบุคคลกับ
รูปอย่างหนึ่ง เป็นของสกวาที. คำตอบรับรองแม้ทั้ง 2 ปัญหา เป็น
ของปรวาที. คำซักถามถึงความเป็นคนละอย่างของรูปกับบุคคล ดุจรูป
กับเวทนาด้วยความเห็นทั่วไปที่ปรวาทีไม่เห็นด้วย เป็นของสกวาที. คำ
ปฏิเสธเป็นของปรวาที. คำที่เหลือแม้ในที่นี้ชัดเจนแล้วโดยอรรถนั่น
เทียว. ก็เมื่อว่าโดยธรรมแล้ว ในข้อนี้ในฝ่ายสกวาทีท่านแสดงนิคคห-
ปัญจกะ คือหมวด 5 แห่งนิคคหะ ไว้ถึง 920 นัย ด้วยสามารถ