เมนู

สมันนาคตกถา


[903] สกวาที พระอรหันต์ประกอบด้วยผล 4 หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ประกอบด้วยผัสสะ 4 ด้วยเวทนา 4
ด้วยปัญญา 4 ด้วยเจตนา 4 ด้วยจิต 4 ด้วยศรัทธา 4 ด้วยวิริยะ 4
ด้วยสติ 4 ด้วยสมาธิ 4 ด้วยปัญญา 4 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[904] ส. พระอนาคามีประกอบด้วยผล 3 หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีประกอบด้วยผัสสะ 3 ฯ ล ฯ ด้วย
ปัญญา 3 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[905] ส. พระสกทาคามีประกอบด้วยผล 2 หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีประกอบด้วยผัสสะ 2 ฯลฯ ด้วย
ปัญญา 2 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[906] ส. พระอรหันต์ประกอบด้วยโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระอรหันต์เป็นพระโสดาบันผู้สัตตขัตตุปรมะ
ผู้โกลังโกละ ผู้เอกพีชี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ประกอบด้วยสกทาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์เป็นพระสกทาคามี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ประกอบด้วยอนาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์เป็นพระอนาคามีผู้อันดราปรินิพ
พายี ผู้อุปหัจจปรินิพพายี ผู้อสังขารปรินิพพายี ผู้สสังขารปรินิพพายี
ผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[907] ส. พระอนาคามีประกอบด้วยโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีเป็นพระโสดาบันผู้สัต ขัตตุปรมะ
ผู้โกลังโกละ ผู้เอกพีชี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯล ฯ
ส. พระอนาคามีประกอบด้วยสกทาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระอนาคามีเป็นพระสกทาคามี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[908] ส. พระสกทาคามีประกอบด้วยโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีเป็นพระโสดาบันผู้สัตตขัตตุปรมะ
ผู้โกลังโกละ ผู้เอกพีชี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[909 ] ส. ผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติผล พึงกล่าวว่า โสดาบัน
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ประกอบด้วยโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์องค์นั้น พระโสดาบันก็องค์นั้น
แหละ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[910] ส. ผู้ประกอบด้วยสกทาคามิผล พึงกล่าวว่า สก-
ทาคามิ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ประกอบด้วยสกทาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระอรหันต์องค์นั้น พระสกทาคามีก็องค์นั้น
แหละ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[911] ส. ผู้ประกอบด้วยอนาคามิผล พึงกล่าวว่า อนาคามี
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ประกอบด้วยอนาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์องค์นั้น พระอนาคามีองค์นั้น
แหละ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[912] ส. ผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติผล พึงกล่าวว่าโสดาบัน
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีประกอบด้วยโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีองค์นั้น พระโสดาบันก็องค์นั้น
แหละ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[913] ส. ผู้ประกอบด้วยสกทาคามิผล พึงกล่าวว่า สก-
ทาคามี หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีประกอบด้วยสกทาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีองค์นั้น พระสกทาคามีก็องค์นั้น
แหละ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[914] ส. ผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติผลพึงกล่าวว่า โสดาบัน
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีประกอบด้วยโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีองค์นั้น พระโสดาบันก็องค์นั้น
แหละ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[915] ส. พระอรหันต์ประกอบด้วยโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์เลยโสดาปัตติผลไปแล้ว มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์เลยโสดาปัตติต่อไปแล้ว ก็
ต้องไม่กล่าวว่า พระอรหันต์ประกอบด้วยโสดาปัตติผล.

[916] ส. พระอรหันต์เลยโสดาปัตติผลเลย ยังชื่อว่าประ-
กอบด้วยโสดาปัตติผลนั้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์เลยโสดาปัตติมรรคไปแล้ว เลย
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ราคะที่เป็นอปายคามี โทสะ
ที่เป็นอปายคามี โมหะที่เป็นอปายคามี ไปแล้ว ยังชื่อว่าประกอบด้วย
โมหะที่เป็นอปายคามีนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[917] ส. พระอรหันต์ประกอบด้วยสกทาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์เลยสกทาคามิผลไปแล้ว มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์เลยสกทาคามิผลไปแล้ว
ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระอรหันต์ประกอบด้วยสกทาคามิผล.
[918] ส. พระอรหันต์เลยสกทาคามิผลไปแล้ว ยังชื่อว่า
ประกอบด้วยสกทาคามิผลนั้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์เลยสกทาคามิมรรคไปแล้ว เลย
กามราคะอย่างหยาบ พยาบาทอย่างหยาบไปแล้ว ยังชื่อว่า ประกอบด้วย
พยาบาทอย่างหยาบนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ

[919 ] ส. พระอรหันต์ประกอบด้วยอนาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์เลยอนาคามิผลไปแล้ว มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์เลยอนาคามิผลไปแล้ว ก็
ต้องไม่กล่าวว่า พระอรหันต์ประกอบด้วยอนาคามิผล.
[920] ส. พระอรหันต์เลยอนาคามิผลไปแล้ว ยังชื่อว่า
ประกอบด้วยอนาคามิผลนั้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พรอรหันต์เลยอนาคามิมรรคไปแล้ว เลยกาม-
ราคะอย่างละเอียด พยาบาทอย่างละเอียดไปแล้ว ยังชื่อว่า ประกอบ
ด้วยพยาบาทอย่างละเอียดนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[921] ส. พระอนาคามีประกอบด้วยโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีเลยโสดาปัตติผลไปแล้วมิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอนาคามีเลยโสดาปัตติผลแล้ว ก็
ต้องไม่กล่าวว่า พระอนาคามีประกอบด้วยโสดาปัตติผล.
[922] ส. พระอนาคามีเลยโสดาปัตติผลไปแล้ว ยังชื่อว่า
ประกอบด้วยโสดาปัตติผลนั้น หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีเลยโสดาปัตติมรรคไปแล้ว เลย
สักกายทิฏฐิ ฯ ล ฯ โมหะที่เป็นอปายคามีไปแล้ว ยังชื่อว่า ประกอบ
ด้วยโมหะที่เป็นอปายคามีนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[923] ส. พระอนาคามีประกอบด้วยสกทาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีเลยสกทาคามิผลไปแล้ว มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอนาคามีเลยสกทาคามิผลไปแล้ว
ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระอนาคามีประกอบด้วยสกทาคามิผล.
[924] ส. พระอนาคามีเลยสกทาคามิผลไปแล้ว ยังชื่อว่า
ประกอบด้วยสกทาคามิผลนั้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีเลยสกทาคามิมรรคไปแล้ว เลย
กามราคะอย่างหยาบ พยาบาทอย่างหยาบไปแล้ว ยังชื่อว่าประกอบด้วย
พยาบาทอย่างหยาบนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[925] ส. พระสกทาคามีประกอบด้วยโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระสกทาคามีเลยโสดาปัตติผลไปแล้ว มิใช่
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระสกทาคามีเลยโสดาปัตติผลไปแล้ว
ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระสกทาคามีประกอบด้วยโสดาปัตติผล.
[926] ส. พระสกทาคามีเลยโสดาปัตติผลไปแล้ว ยังชื่อว่า
ประกอบด้วยโสดาปัตติผลนั้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีเลยโสดาปัตติมรรคไปแล้ว เลย
สักกายทิฏฐิ ฯ ล ฯ โมหะที่เป็นอปายคามีไปแล้ว ยังชื่อว่าประกอบด้วย
โมหะที่เป็นอปายคามีนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[927] ป. ไม่พึงกล่าวว่า พระอรหันต์ประกอบด้วยผล 4
หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระอรหันต์ได้ผล 4 แล้ว และไม่เสื่อมจากผล 4
นั้น มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. หากว่า พระอรหันต์ได้ผล 4 และไม่เสื่อมจาก
ผล 4 นั้นด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า พระอรหันต์ประกอบด้วย
ผล 4

[928] ป. ไม่พึงกล่าวว่า พระอนาคามีประกอบด้วยผล 3
หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระอนาคามีได้ผล 3 แล้ว และไม่เสื่อมจาก
ผล 3 นั้น มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. หากว่า พระอนาคามีได้ผล 3 และไม่เสื่อมจาก
ผล 3 นั้น ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า พระอนาคามีประกอบ
ด้วยผล 3
[929] ป. ไม่พึงกล่าวว่า พระสกทาคามีประกอบด้วยผล 2
หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระสกทาคามี ได้ผล 2 แล้ว และไม่เสื่อมจาก
ผล 2 นั้น มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. หากว่า พระสกทาคามี ได้ผล 2 แล้ว และ
ไม่เสื่อมจากผล 2 นั้น ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า พระสกทาคามี
ประกอบด้วยผล 2.
[930] ส. พระอรหันต์ ได้ผล 4 แล้ว และไม่เสื่อมจาก
ผล 4 นั้น เพราะเหตุนั้น พระอรหันต์จึงชื่อว่า ประกอบด้วยผล 4
หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ได้มรรค 4 แล้วไม่เสื่อมจากมรรค
4 นั้น เพราะเหตุนั้น พระอรหันต์จึงชื่อว่า ประกอบด้วยมรรค 4
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[931] ส. พระอนาคามี ได้ผล 3 แล้ว และไม่เสื่อมจาก
ผล 3 นั้น เพราะเหตุนั้น พระอนาคามีจึงชื่อว่า ประกอบด้วยผล 3
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีได้มรรค 3 แล้ว และไม่เสื่อมจาก
มรรค 3 นั้น เพราะเหตุนั้น พระอนาคามีจึงชื่อว่า ประกอบด้วย
มรรค 3 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[932] ส. พระสกทาคามี ได้ผล 2 แล้ว และไม่เสื่อม
จากผล 2 นั้น เพราะเหตุนั้น พระสกทาคามีจึงชื่อว่า ประกอบด้วย
ผล 2 หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีได้มรรค 2 แล้ว และไม่เสื่อม
จากมรรค 2 นั้น เพราะเหตุนั้น พระสกทาคามีจึงชื่อว่า ประกอบด้วย
มรรค 2 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สมันนาคตกถา จบ

อรรถกถาสมันนาคตกถา

1

ว่าด้วยผู้ประกอบ


บัดนี้ ชื่อว่า เรื่องผู้ประกอบ. ในเรื่องนั้น การประกอบมี
2 อย่าง. คือ.- การประกอบในความเป็นผู้พร้อมเพรียงกันในขณะ
แห่งปัจจุบัน 1. การประกอบคือการได้เฉพาะโดยบรรลุภูมิใดภูมิหนึ่ง
มีรูปาวจรเป็นต้น 1. การประกอบคือการบรรลุภูมิใดภูมิหนึ่งนั้นยังไม่
เสื่อมจากคุณวิเศษที่ตนบรรลุแล้วเพียงใด ก็ชื่อว่า เป็นผู้ได้คุณวิเศษ
อยู่เพียงนั้นนั่นแหละ.
อนึ่ง ชนเหล่าใดมีความเห็นผิด ดุจลัทธิของนิกายอุตตราปถกะ
ทั้งหลายในขณะนี้ว่า ยกเว้นการประกอบ 2 อย่างนี้แล้ว ชื่อว่าการ
ประกอบอย่างอื่นอันหนึ่งมีอยู่ด้วยสามารถแห่งปัตติธรรม คือ ธรรมที่
บรรลุ ดังนี้ เพื่อให้ชนเหล่านั้นเข้าใจตามว่า ชื่อว่าปัตติธรรม
คือธรรมเป็นเครื่องบรรลุของพระอรหันต์ อะไร ๆ มีอยู่ ปัตติธรรม
อะไร ๆ ไม่มีอยู่ จึงถามว่า พระอรหันต์ประกอบด้วยผล 4 หรือ
คำตอบรับรองหมายเอาการบรรลุผลเป็นของปรวาที. ลำดับนั้น สกวาที
จึงเริ่มคำเป็นต้นว่า พระอรหันต์ประกอบด้วยผัสสะ 42 หรือ
เพื่อท้วงว่า ถ้าพระอรหันต์ประกอบด้วยผลทั้ง 4 ดุจถึงพร้อมด้วยนาม
ขันธ์ 4 ไซร้ ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้นมีอยู่ ธรรมทั้งหลายเหล่าใด
1. คำว่า "สมนฺนาคตกถา" แปลว่า เรื่องผู้ประกอบ หรือ เรื่องผู้ถึงพร้อมแล้ว
2. คำว่า ผัสสะ 4 คือ ผัสสะเจตสิกที่เกิดกับโสดาปัตติผลจิต สกทาคามิผลจิต
อนาคามิผลจิต และ อรหัตตผลจิต.