เมนู

แล้ว แตกแล้วและไม่แตกแล้ว อันปัจจัยทำแล้วและอันปัจจัยไม่ทำแล้ว
เท่านั้น มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าจิตมีแต่กำหนัดแล้วและไม่กำหนัดแล้ว ขัด-
เคืองแล้วสละไม่ขัดเคืองแล้ว หลงแล้วและไม่หลงแล้ว ขาดแล้วและ
ไม่ขาดแล้ว แตกแล้วและไม่แตกแล้ว อันปัจจัยทำแล้วและอันปัจจัย
ไม่ทำแล้ว เท่านั้น ก็ต้องไม่กล่าวว่า จิตหลุดพ้นอยู่ มีอยู่.
วิมุจจมานกถา จบ

อรรถกถาวิมุจจมานกถา


ว่าด้วยจิตหลุดพ้นอยู่


บัดนี้ ชื่อว่า เรื่องจิตหลุดพ้นอยู่. ในปัญหานั้น ลัทธิแห่งชน
เหล่าใดว่า จิตหลุดพ้นแล้วด้วยวิกขัมภนวิมุติโดยฌาน ในขณะแห่ง
มรรค จิตนั้นชื่อว่าหลุดพ้นอยู่ด้วยสมุจเฉทวิมุติ ดังนี้ สกวาทีหมายชน
เหล่านั้น จึงถามว่า จิตที่หลุดพ้นแล้วยังหลุดพ้นอยู่หรือ คำตอบ
รับรองเป็นของปรวาที. สกวาทีถามอีกว่า ส่วนหนึ่งหลุดพ้นแล้ว ใน
บรรดาคำเหล่านั้นคำว่า ส่วนหนึ่ง เป็นคำไม่ปรากฏตามความ
เป็นจริง อธิบายว่า ท่านถามว่า จิตหลุดพ้นแล้วส่วนหนึ่ง ไม่
หลุดพ้นแล้วส่วนหนึ่ง
ฉันใด จิตนั้นส่วนหนึ่งหลุดพ้นแล้ว แต่อีก
ส่วนหนึ่งไม่หลุดพ้นแล้ว ฉันนั้นหรือ ดังนี้.

ถามว่า พระสกวาทีย่อมถามอย่างนี้ เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะปรวาทีนั้นกล่าวผิดภาวะปกติว่า จิตที่หลุดพ้น
แล้วว่ายังหลุดพ้นอยู่
ดังนี้ เหมือนอย่างว่า ช่างไม้ทำวัตถุทั้งหลาย
มีไม้เป็นต้น เขาทำเสร็จแล้วบางส่วน บางส่วนยังไม่เสร็จเพราะความที่
ของนั้นยังไม่เรียบร้อยฉันใด จิตแม้นี้ก็ย่อมจะปรากฏตามลัทธิว่า ส่วน
หนึ่งหลุดพ้นแล้ว อีกส่วนหนึ่งไม่หลุดพ้น ฉันนั้น.
ลำดับนั้น ปรวาทีตอบปฏิเสธในปัญหาแรก เพราะจิตไม่มี
บางส่วนดุจช่างทำไม้ เป็นต้น ในปัญหาที่ 2 ตอบรับรองเพราะความ
ที่จิตนั้นกำลังหลุดพ้นไม่ใช่หลุดพ้นแล้วและทำกิจยังไม่เสร็จ. อีกอย่าง
หนึ่ง ท่านตอบปฏิเสธหมายเอาลักขณจิตแห่งโลกียฌาน แต่ว่าลักขณ-
จิตแห่งโลกียฌานนั้นไม่ใช่กำลังหลุดพ้นด้วยสมุจเฉทวิมุติในกาลนั้น จึง
ตอบรับรองหมายเอาลักขณจิตแห่งโลกุตตรฌาน. ลัทธิของท่านว่า ก็
ในกาลนั้น จิตนั้นกำลังหลุดพ้นด้วยสมุจเฉทวิมุติโดยส่วนหนึ่งแห่งจิต
ที่หลุดพ้น ดังนี้. ลำดับนั้น สกวาทีจึงกล่าวว่า ส่วนหนึ่งเป็น
พระโสดาบัน
เป็นต้น เพื่อท้วงด้วยคำว่า หากว่าจิตดวงนั้นแหละ
หลุดพ้นได้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งไม่หลุดพ้นมีอยู่ไซร้ ครั้นเมื่อความ
เป็นเช่นนั้นมีอยู่ บุคคลใดเป็นพระโสดาบันด้วยจิตดวงหนึ่งนั้นแหละ
บุคคลแม้นั้นก็ต้องเป็นพระโสดาบันเพียงส่วนหนึ่งไม่เป็นส่วนหนึ่งด้วย
จิตดวงนั้น ดังนี้ ปรวาทีเมื่อไม่เห็นธรรมเนียม เช่นนั้นจึงตอบปฏิเสธ.
แม้ในวาระที่เหลือทั้งหลายก็นัยนั่นแหละ.

ในปัญหาว่าด้วย จิตหลุดพ้นแล้วในขณะการเกิดขึ้น อธิบาย
ว่า ถ้าจิตดวงหนึ่งนั้นแหละหลุดพ้นแล้วด้วย กำลังหลุดพ้นอยู่ด้วย
ไซร้ จิตที่หลุดพ้นแล้วและกำลังหลุดพ้นย่อมปรากฏในขณะเดียวกัน
จิตเห็นปานนี้เป็นลัทธิของท่านหรือ. ในการชำระพระสูตร พระสูตร
แรกเป็นของปรวาที. ในพระสูตรนี้ อธิบายว่า จิตย่อมหลุดพ้น
เป็นการชี้แจงไม่คงที่. หมายความว่า ไม่กล่าวว่าเป็นขณะเกิดหรือขณะ
ดับ เพราะฉะนั้น ปรวาทีจึงนำพระสูตรมาว่า เมื่อบุคคลนั้น รู้อยู่
อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตใดย่อมหลุดพ้นจากอาสวะเหล่านี้ จิตนั้น
ชื่อว่าย่อมหลุดพ้น ดังนี้. พระสูตรที่ 2 เป็นของสกวาที เนื้อความ
นั้นอธิบายว่า ถ้าจิตหลุดพ้นแล้วชื่อว่ากำลังหลุดพ้น เพราะพระบาลี
ว่า ย่อมหลุดพ้น ตามลัทธิของท่านมีอยู่ไซร้ จิตนั้นก็พึงหลุดพ้น
แล้วนั่นแหละมิใช่กำลังหลุดพ้น เพราะไม่มีคำบาลีในพระสูตรนี้ว่า
ย่อมหลุดพ้น ดังนี้.
บัดนี้ เพื่อจะท้วงว่า จิตกำลังหลุดพ้นเพราะความหลุดพ้นอัน
ผิดปกติตามลัทธิของท่านมีอยู่ ฉันใด แม้จิตที่กำลังกำหนัดอยู่เป็นต้น
มีอยู่เพราะราคะอันผิดปกติเป็นต้นฉันนั้นหรือ ดังนี้ จึงเริ่มคำเป็นต้น
อีกว่า จิตหลุดพ้นอยู่มีอยู่หรือ เป็นต้น. แม้ปรวาที เมื่อไม่เห็น
จิตเช่นนั้น จึงปฏิเสธแล้วทั้งสิ้น. ลำดับนั้น สกวาทีเมื่อจะยังปรวาที
ให้รู้ว่า ส่วนสุดมี 2 อย่างเท่านั้น ไม่ใช่ 3 อย่าง จึงกล่าวคำว่า
จิตมีแต่กำหนัดแล้วและไม่กำหนัดแล้วมิใช่หรือ เป็นต้น

พึงทราบเนื้อความแห่งปัญหานั้นว่า ดูก่อนภัทรมุข ผู้มีพักตร์งาม
ส่วนสุดมี 2 อย่างเท่านั้น คือ จิตอันราคะย้อมแล้วสัมปยุตแล้วด้วย
ราคะ และจิตอันราคะไม่ย้อมแล้วปราศจากราคะแล้ว มิใช่หรือ ? ส่วน
สุดที่ 3 คือจิตชื่อว่ากำลังกำหนัดย่อมไม่มี ดังนี้. ในคำว่า จิตขัดเคือง
แล้วเป็นต้น ก็นัยนี้. ลำดับนั้น สกวาทียังปรวาทีให้รับรองว่าใช่แล้ว
เพื่อแสดงส่วนสุดทั้ง 2 นั้นแหละแม้ในฝ่ายจิตวิมุติ จึงกล่าวว่า ถ้า
จิตมีแต่กำหนัดแล้ว เป็นต้น. เนื้อความแห่งปัญหานั้นพึงทราบว่า
ถ้าท่านรับรองส่วนสุดทั้ง 2 นี้ คือ จิตไม่หลุดพ้นแล้วและจิตหลุดพ้น
แล้ว ท่านจงรับรองส่วนสุดแม้เหล่านี้ คือ จิตอันสัมปยุตด้วยกิเลส
ชื่อว่าไม่หลุดพ้นแล้ว จิตปราศจากกิเลสชื่อว่าหลุดพ้นแล้ว เมื่อว่าโดย
ปรมัตถ์ ส่วนสุดที่ 3 ว่า จิตชื่อว่า กำลังหลุดพ้น ดังนี้ ย่อมไม่มี
ตามพระสูตร ดังนี้ แล.
อรรถกถาวิมุจจมานกถา จบ

อัฏฐมกกถา


[763] สกวาที บุคคลที่ 81 ละเครื่องกลุ้มรุมคือทิฏฐิได้
แล้ว หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. บุคคลที่ 8 เป็นพระโสดาบัน เป็นผู้ถึงแล้ว ได้
เฉพาะแล้ว บรรลุแล้ว กระทำให้แจ้งแล้ว เข้าถึงอยู่ ถูกต้องด้วยกาย
อยู่ ซึ่งโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[764] ส. บุคคลที่ 8 ละเครื่องกลุ้มรุมคือวิจิกิจฉาได้แล้ว
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลที่ 8 เป็นพระโสดาบัน เป็นผู้ถึงแล้ว
ฯลฯ ถูกแล้วด้วยกายอยู่ ซึ่งโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[765] ส. บุคคลที่ 8 ละเครื่องกลุ้มรุมคือทิฏฐิได้แล้ว
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลที่ 8 ละอนุสัยคือทิฏฐิได้แล้ว หรือ ?
1. บุคคลที่ 8 คือ พระอริยบุคคล ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติ