เมนู

โวหารกถา


[671] สกวาที พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็น
โลกุตตระ หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว
ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า กระทบ
โสตที่เป็นโลกุตตระ ไม่กระทบโสตที่เป็นโลกิยะ รับรู้ได้ด้วยวิญญาณ
ที่เป็นโลกุตตระ รับรู้ไม่ได้ด้วยวิญญาณที่เป็นโลกิยะ พระสาวกทั้งหลาย
รับรู้ได้ ปุถุชนทั้งหลายรับรู้ไม่ได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[672] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า กระทบ
โสตที่เป็นโลกิยะ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
กระทบโสตที่เป็นโลกิยะ ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระ-
ภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระ
[673] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า รับรู้ได้
ด้วยวิญญาณที่เป็นโลกิยะ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
รับรู้ได้ด้วยวิญญาณที่เป็นโลกิยะ ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระดำรัสของพระ-

ผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เป็นโลกุตตระ.
[674] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าปุถุชน
ทั้งหลายรับรู้ได้ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า ปุถุชนรับรู้พระดำรัสของพระผู้มีพระ-
ภาคพุทธเจ้าได้ ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระดำรัสของผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
เป็นโลกุตตระ.
[675] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เป็น
โลกุตตระหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เป็นมรรค เป็นผล เป็นนิพพาน เป็นโสดา-
ปัตติมรรค เป็นโสดาปัตติผล เป็นสกทาคามิมรรค เป็นสกทาคามิผล
เป็นอนาคามิมรรค เป็นอนาคามิผล เป็นอรหัตมรรค เป็นอรหัตผล
เป็นสติปัฏฐาน เป็นสัมมัปปธาน เป็นอิทธิบาท เป็นอินทรีย์ เป็น
พละ เป็นโพชฌงค์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[676] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เป็น
โลกุตตระ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ใคร ๆ ที่ฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธ-
เจ้าได้ มีอยู่หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. โลกุตตรธรรม พึงรับรู้ได้ด้วยโสต กระทบที่
โสตมาสู่คลองแห่งโสต หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[677] ส. โลกุตตรธรรม ไม่พึงรับรู้ได้ด้วยโสตไม่กระทบ
ที่โสตไม่มาสู่คลองแห่งโสต มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า โลกุตตรธรรมไม่พึงรับรู้ได้ด้วยโสต ไม่
กระทบที่โสต ไม่มาสู่คลองแห่งโสต ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระดำรัสของ
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เป็นโลกุตตระ.
[678] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เป็น
โลกุตตระ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ใครๆ ที่พึงยินดีในพระดำรัสของพระผู้มีพระ-
ภาคพุทธเจ้ามีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. โลกุตตรธรรมเป็นที่ตั้งแห่งราคะ เป็นที่ตั้งแห่ง
ความยินดี เป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา เป็นที่ตั้ง
แห่งความติด เป็นที่ตั้งแห่งความสยบ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

[679] ส. โลกุตตรธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งราคะ ไม่เป็นที่ตั้ง
แห่งความยินดี ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา
ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความติด ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความสยบ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า โลกุตตรธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งราคะ ไม่
เป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความ
มัวเมา ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความติด ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความสยบ ก็ต้องไม่
กล่าวว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระ.
[680] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เป็น
โลกุตตระ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ใคร ๆ ที่พึงขัดเคืองพระดำรัสของพระผู้มีพระ-
ภาคพุทธเจ้ามีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. โลกุตตรธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ เป็นที่ตั้งแห่ง
ความขัดเคือง เป็นที่ตั้งแห่งความกระทบกระเทือน หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[681] ส. โลกุตตรธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ไม่เป็นที่ตั้ง
แห่งความขัดเคือง ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความกระทบกระเทือน มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. หากว่า โลกุตตรธรรม ไม่เป็นที่ตั้งแห่งโทสะ
ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความกระทบกระเทือน
ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เป็นโลกุตตระ.
[682] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เป็น
โลกุตตระ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ใคร ๆ ที่พึงหลงในพระดำรัสของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ามีอยู่จริง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. โลกุตตรธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ กระทำความ
ไม่รู้ กระทำให้ตาบอด เป็นที่เสื่อมสิ้นแห่งปัญญา เป็นฝักฝ่ายแห่ง
ความคับแค้น ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[683] ส. โลกุตตรธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งโมหะ ไม่กระทำ
ความไม่รู้ ไม่กระทำให้ตาบอด เป็นที่เจริญแห่งปัญญา ไม่เป็นฝักฝ่าย
แห่งความคับแค้น เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า โลกุตตรธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งโมหะ ไม่
กระทำความไม่รู้ ไม่กระทำให้ตาบอด เป็นที่เจริญแห่งปัญญา ไม่เป็น
ฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน ก็ต้องไม่กล่าวว่า
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เป็นโลกุตตระ.

[684] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เป็น
โลกุตตระ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ฟังพระดำรัสของพระผู้มี-
พระภาคพุทธเจ้าอยู่ ชนเหล่านั้นทั้งหมดชื่อว่ายังมรรคให้เกิดได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[658] ส. ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ฟังพระดำรัสของพระผู้มี-
พระภาคพุทธเจ้าอยู่ ชนเหล่านั้นทั้งหมดชื่อว่ายังมรรคให้เกิดได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พาลปุถุชน ฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค-
พุทธเจ้าอยู่ พาลปุถุชนก็ชื่อว่ายังมรรคให้เกิดได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. คนทำมาตุฆาต ฯ ล ฯ คนทำปิตุฆาต... คนทำ
อรหันตฆาต... คนทำโลหิตุปบาท ฯลฯ คนทำสังฆเภท ฟังพระดำรัส
ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าอยู่ คนทำสังฆเภท ก็ชื่อว่ายังมรรคให้เกิด
ได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[686] ป. กองข้าวก็ดี กองทองก็ดี ใช้ไม้เท้าทองชี้บอก
ได้ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.

ป. เหมือนกันนั่นแหละ ธรรมที่เป็นโลกิยะก็ดี ที่
เป็นโลกุตตระก็ดี พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสด้วยพระดำรัสที่เป็น
โลกุตตระ
[687] ส. กองข้าวก็ดี กองทองก็ดี ใช้ไม้เท้าต้นละหุ่ง
ชี้บอกก็ได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เหมือนกันนั่นแหละ ธรรมที่เป็นโลกิยะก็ดี ที่
เป็นโลกุตตระก็ดี พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าย่อมตรัสด้วยพระดำริที่เป็น
โลกิยะ.
[688] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เมื่อตรัส
โลกิยธรรมก็เป็นโลกิยะ เมื่อเป็นโลกุตตรธรรม ก็เป็นโลกุตตระ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เมื่อตรัสโลกิยธรรม พระดำรัสนั้น กระทบโสต
ที่เป็นโลกิยะ เมื่อตรัสโลกุตตรธรรม ก็กระทบโสตที่เป็นโลกุตตระ
เมื่อตรัสโลกิยธรรม ชนทั้งหลายรับรู้ได้ด้วยวิญญาณที่เป็นโลกิยะ เมื่อ
ตรัสโลกุตตรธรรม ก็รับรู้ได้ด้วยวิญญาณที่เป็นโลกุตตระ เมื่อตรัส
โลกิยธรรม ปุถุชนทั้งหลายรับรู้ได้ เมื่อตรัสโลกุตตรธรรม พระสาวก
ทั้งหลายรับรู้ได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

[689] ป. ไม่พึงกล่าวว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระภาค-
พุทธเจ้า เมื่อตรัสโลกิยธรรม ก็เป็นโลกิยะ เมื่อตรัสโลกุตตรธรรม
ก็เป็นโลกุตตระ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าตรัสทั้งโลกิยธรรมและ
โลกุตตรธรรม มิใช่ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. หากว่า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าตรัสทั้งโลกิย-
ธรรมและโลกุตตรธรรม ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า พระดำรัส
ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เมื่อตรัสโลกิยธรรม ก็เป็นโลกิยะ เมื่อ
ตรัสโลกุตตรธรรม ก็เป็นโลกุตตระ.
[690] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เมื่อตรัส
โลกิยธรรม ก็เป็นโลกิยะ เมื่อตรัสโลกุตตรธรรม ก็เป็นโลกุตตระ
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เมื่อตรัสมรรค ก็เป็นมรรค เมื่อตรัสธรรมมิใช่
มรรค ก็เป็นธรรมมิใช่มรรค เมื่อตรัสผล ก็เป็นผล เมื่อตรัสธรรม
มิใช่ผล ก็เป็นธรรมมิใช่ผล เมื่อตรัสนิพพาน ก็เป็นนิพพาน เมื่อ
ตรัสธรรมมิใช่นิพพาน ก็เป็นธรรมมิใช่นิพพาน เมื่อตรัสสังขตะ ก็
เป็นสังขตะ เมื่อตรัสอสังขตะ ก็เป็นอสังขตะ เมื่อตรัสรูป ก็เป็นรูป

มิใช่เวทนา ก็เป็นธรรมมิใช่เวทนา เมื่อตรัสสัญญา ก็เป็นสัญญา
เมื่อตรัสธรรมมิใช่สัญญา ก็เป็นธรรมมิใช่สัญญา เมื่อตรัสสังขาร
ก็เป็นสังขาร เมื่อตรัสธรรมมิใช่สังขาร ก็เป็นธรรมมิใช่สังขาร เมื่อ
ตรัสวิญญาณ ก็เป็นวิญญาณ เมื่อตรัสธรรมมิใช่วิญญาณ ก็เป็นธรรม
มิใช่วิญญาณ หรือ.
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
โวหารกถา จบ

อรรถกถาโวหารกถา


ว่าด้วยโวหาร


บัดนี้ ชื่อว่า เรื่องโวหาร คือถ้อยคำที่กล่าวเรียกสิ่งต่าง ๆ.
ในเรื่องนั้น ลัทธิแห่งชนเหล่าใดในขณะนี้ดุจลัทธิของนิกายอันธกะ
ทั้งหลายว่า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมตรัสรู้ เรียก
ด้วยคำอันเป็นโลกุตตระ ดังนี้ คำถามของสกวาทีหมายชนเหล่านั้น.
คำตอบรับรองเป็นของปรวาที ด้วยสามารถแห่งลัทธิ. คำว่า โสตที่
เป็นโลกุตตระ
เป็นต้น ท่านกล่าวแล้ว เพื่อแสดงความที่ปรวาที
นั้นไม่ควรจะกล่าว คือเป็นคำที่ไม่ถูกต้อง. ในข้อนี้ท่านอธิบายไว้ดังนี้
ว่า สัททายตนะนั่นแหละ ท่านไม่ควรกล่าวว่า เป็นโลกุตตระ หรือว่า
แม้โสตะ เป็นต้น ก็เช่นเดียวกัน.