เมนู

[670] ส. การตรัสรู้ธรรมเป็นการตรัสรู้โดยลำดับ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย สมัยใดธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากผงฝ้า
ได้เกิดขึ้นแก่พระอริยสาวกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็น
ธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา สมัยนั้น
พร้อมกับความเกิดขึ้นแห่งโสดาปัตติมรรค อริยสาวกนั้นละสัญ-
โยชน์ได้ 3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
ดังนี้
เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า การตรัสรู้ธรรม
เป็นการตรัสรู้โดยลำดับ.
อนุปุพพาภิสมยกถา จบ

อรรถกถาอนุปุพพาภิสมยกถา


ว่าด้วยการตรัสรู้โดยลำดับ


บัดนี้ เป็นเรื่องการตรัสรู้โดยลำดับ. ในเรื่องนั้น ลัทธิแห่งการ
ตรัสรู้ต่าง ๆ ของชนเหล่าใด ดุจลัทธิของนิกายอันธกะ นิกายสัพพัตถิกะ
นิกายสมิติยะ และนิกายภัทรยานิกะทั้งหลายในขณะนี้อันเกิดขึ้นแล้ว

อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ย่อมละกิเลส
ทั้งหลายได้บางอย่างด้วยการเห็นซึ่งทุกข์ ย่อมละกิเลสบางอย่างได้ด้วย
การเห็นสมุทัย . . . นิโรธ . . . มรรคโดยทำนองเดียวกัน และย่อมละกิเลส
ทั้งหลายที่เหลือ เพราะทำการละกิเลสโดยลำดับ 16 ส่วนอย่างนี้ ด้วย
ประการฉะนี้ จึงบรรลุความเป็นพระอรหันต์ ดังนี้ โดยไม่พิจารณา
ถือเอาพระสูตรทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
ผู้มีปัญญา พึงกำจัดมลทินของตนที-
ละน้อย ๆ ทุกๆ ขณะ ดุจช่างทองกำจัดมลทิน-
ทอง ฉะนั้น ดังนี้.
เพื่อตำหนิลัทธิแห่งชนเหล่านั้น สกวาทีจึงถามว่า การตรัสรู้
ธรรมเป็นการตรัสรู้โดยลำดับหรือ
คำตอบรับรองเป็นของปรวาที.
ถูกถามว่า บุคคลยังโสดาปัตติมรรคให้เกิดได้โดยลำดับหรือ
ปราวาทีปฏิเสธเพราะกลัวว่า การตรัสรู้มีจำนวนมากมายของมรรคเดียว.
ถูกถามครั้งที่ 2 ตอบรับรองด้วยสามารถแห่งการเห็นทุกข์เป็นต้น. อีก
อย่างหนึ่ง ปรวาทีย่อมตอบรับรองว่า ญาณแม้ทั้ง 4 เหล่านั้น เป็น
โสดาปัตติมรรคหนึ่งเท่านั้น แต่ย่อมปรารถนาผลเพียงหนึ่ง เพราะ
ฉะนั้น จึงปฏิเสธ. แม้ในสกทาคามิมรรค เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
ในปัญหาว่า เมื่อเห็นมรรคแล้วพึงกล่าวว่าตั้งอยู่แล้วใน
ผลหรือ
อธิบายว่า การเห็นทุกข์เป็นต้นยังไม่สำเร็จ แต่การเห็น
นั้นชื่อว่าสำเร็จด้วยการเห็นของมรรคแล้ว จากนั้นจึงถึงซึ่งการนับว่าผู้

นั้นตั้งอยู่ในผล เหตุใด เพราะเหตุนั้น ปรวาทีจึงตอบรับรองว่า ใช่.
คำถามของปรวาทีว่า เมื่อเห็นทุกข์แล้ว สัจจะทั้ง 4 ก็
เป็นอันได้เห็นแล้วหรือ
สกวาทีตอบรับรองด้วยสามารถแห่งการ
ตรัสรู้สัจจะทั้ง 4 นั้นพร้อมกัน เมื่อซักอีกว่า ทุกขสัจจะเป็น
สัจจะทั้ง 4 หรือ
สกวาทีนั้นนั่นแหละตอบปฏิเสธ เพราะสัจจะทั้ง
4 มีสภาวะต่างกัน. คำถามว่า เมื่อเห็นรูปขันธ์โดยความเป็นของ
ไม่เที่ยงแล้ว
เป็นของสกวาที. คำรับรองเป็นของปรวาที เพราะ
ลัทธิของท่านว่า เมื่อบุคคลแทงตลอดธรรมอันหนึ่งโดยความเป็นของ
ไม่เที่ยงแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นผู้แทงตลอดธรรมแม้ทั้งปวง ดุจบุคคลรู้รส
แห่งน้ำเพียงหยาดเดียวจากสมุทร ย่อมเป็นผู้ชื่อว่ารู้รสน้ำที่เหลือ ดังนี้.
คำว่า ด้วยญาณ 4 ได้แก่ ด้วยญาณในทุกข์เป็นต้น ได้
แก่ ญาณในอริยสัจจ์ 4. คำว่า ด้วยญาณ 8 ได้แก่ ด้วยสัจจ-
ญาณ 4 อันทั่วไป แก่พระสาวกทั้งหลาย และปฏิสัมภิทาญาณ 4. คำว่า
ด้วยญาณ 12 ได้แก่ ด้วยญาณในปฏิจจสมุปบาทอันมีองค์ 12.
คำว่า ด้วยญาณ 44 ได้แก่ ด้วยญาณที่ท่านกล่าวไว้ในนิทาน.
วรรคอย่างนี้ว่า ญาณในชรา มรณะ และญาณในเหตุเกิดขึ้นแห่งชรา
และมรณะ. คำว่า ด้วยญาณ 77 ได้แก่ ด้วยญาณที่ท่านกล่าว
ไว้ในนิทานวรรคนั้นนั่นแหละอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชรา
และมรณะเป็นของไม่เที่ยงเป็นสังขตะเกิดขึ้นเพราะอาศัยกัน มีความ
สิ้นไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็น

ธรรมดา. คำที่เหลือในที่นี้ พึงทราบโดยนัยแห่งพระบาลีพร้อมกับการ
ชำระพระสูตร นั้นแล.
อรรถกถาอนุปุพพาภิสมยกถา จบ

โวหารกถา


[671] สกวาที พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเป็น
โลกุตตระ หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว
ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า กระทบ
โสตที่เป็นโลกุตตระ ไม่กระทบโสตที่เป็นโลกิยะ รับรู้ได้ด้วยวิญญาณ
ที่เป็นโลกุตตระ รับรู้ไม่ได้ด้วยวิญญาณที่เป็นโลกิยะ พระสาวกทั้งหลาย
รับรู้ได้ ปุถุชนทั้งหลายรับรู้ไม่ได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[672] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า กระทบ
โสตที่เป็นโลกิยะ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
กระทบโสตที่เป็นโลกิยะ ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระ-
ภาคพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระ
[673] ส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า รับรู้ได้
ด้วยวิญญาณที่เป็นโลกิยะ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
รับรู้ได้ด้วยวิญญาณที่เป็นโลกิยะ ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระดำรัสของพระ-