เมนู

อนุปุพพาภิสมยกถา


[648] สกวาที การตรัสรู้ธรรมเป็นการตรัสรู้โดยลำดับ
หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. บุคคลยังโสดาปัตติมรรคให้เกิดได้โดยลำดับ
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลยังโสดาปัตติมรรคให้เกิดได้โดยลำดับ
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลได้โดยลำดับ
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[649] ส. การตรัสรู้ธรรมเป็นการตรัสรู้โดยลำดับ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลยังสกทาคามิมรรคให้เกิดได้โดยลำดับ
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลยังสกทาคามิมรรคให้เกิดได้โดยลำดับ
หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผลได้โดยลำดับ
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[650] ส. การตรัสรู้ธรรมเป็นการตรัสรู้โดยลำดับ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลยังอนาคามิมรรคให้เกิดได้โดยลำดับ
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลยังอนาคามิมรรคให้เกิดได้โดยลำดับ
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผลได้โดยลำดับ
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[651] ส. การตรัสรู้ธรรมเป็นการตรัสรู้โดยลำดับ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลยังอรหัตมรรคให้เกิดได้โดยลำดับ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

ส. บุคคลยังอรหัตมรรคให้เกิดได้โดยลำดับ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลกระทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผลได้โดยลำดับ
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[652] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
ละอะไรได้ด้วยการเห็นทุกข์ ?
ป. ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส และ
บรรดากิเลสพวกเดียวกัน ได้ 1 ใน 4 ส่วน.
ส. 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระโสดาบัน อีก 3 ใน 4
ส่วน ไม่เป็นพระโสดาบัน, 1 ใน 4 ส่วน ถึง ได้ บรรลุ ทำให้แจ้ง
เข้าถึงอยู่ ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งโสดาปัตติผล อีก 3 ใน 4 ส่วน
ไม่ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งโสดาปัตติผล 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระ-
โสดาบันผู้สัตตักขัตตุปรมะ ผู้โกลังโกละ ผู้เอกพีชี ประกอบด้วยความ
เลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ฯลฯ ในพระธรรม ฯลฯ ใน
พระสงฆ์ ฯลฯ ประกอบด้วยอริยกันตศีล อีก 3 ใน 4 ส่วน ไม่
ประกอบด้วยอริยกันตศีล หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ป. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ละ
อะไรด้วยการเห็นสมุทัย ฯลฯ ด้วยการเห็นนิโรธ ฯลฯ ด้วยการเห็น
มรรค.

ป. ละ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
และบรรดากิเลสพวกเดียวกันได้ 1 ใน 4 ส่วน.
ส. 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระโสดาบัน อีก 3 ใน 4
ส่วน ไม่เป็นพระโสดาบัน, 1 ใน 4 ส่วน ถึง ได้ บรรลุ ทำให้แจ้ง
เข้าถึงอยู่ ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งโสดาปัตติผล อีก 3 ใน 4 ส่วน
ไม่ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งโสดาปัตติผล, 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระโส-
ดาบันผู้สัตตขัตตุปรมะ ผู้โกลังโกละ ผู้เอกพีชี ประกอบด้วยความ
เลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ฯลฯ ในพระธรรม ฯลฯ ใน
พระสงฆ์ ฯลฯ ประกอบด้วยอริยกันตศีล อีก 3 ใน 4 ส่วน ไม่
ประกอบด้วยอริยกันตศีล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ.
[ 653] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ละ
อะไรได้ด้วยการเห็นทุกข์.
ป. ละกามราคะอย่างหยาบ พยาบาทอย่างหยาบ
และบรรดากิเลสพวกเดียวกันได้ 1 ใน 4 ส่วน.
ส. 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระสกทาคามี อีก 3 ใน
4 ส่วน ไม่เป็นพระสกทาคามี. 1 ใน 4 ส่วน ถึง ได้ บรรลุ ทำ
แจ้ง เข้าถึงอยู่ ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งสกทามิผล อีก 1 ใน 4 ส่วน
ไม่ถูกต้องด้วยนามกาย อยู่ซึ่งสกทาคามิผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ละ
อะไรได้ด้วยการเห็นสมุทัย ฯลฯ ด้วยการเห็นนิโรธ ฯลฯ ด้วยการ
เห็นมรรค.
ป. ละกามราคะอย่างหยาบ พยาบาทอย่างหยาบ
และบรรดากิเลสพวกเดียวกันได้ 1 ใน 4 ส่วน.
ส. 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระสกทาคามี อีก 3 ใน
4 ส่วน ไม่เป็นพระสกทาคามี, 1 ใน 4 ส่วน ถึง ได้ บรรลุ ทำให้
แจ้ง เข้าถึงอยู่ ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งสกทาคามิผล อีก 3 ใน 4
ส่วน ไม่ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งสกทาคามิผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[654] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ละ
อะไรได้ด้วยการเห็นทุกข์.
ป. ละกามราคะอย่างละเอียด พยาบาทอย่างละเอียด
และบรรดากิเลสพวกเดียวกันได้ 1 ใน 4 ส่วน.
ส. 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระอนาคามิ อีก 3 ใน 4
ส่วน ไม่เป็นพระอนาคามี 1 ใน 4 ส่วน ถึง ได้ บรรลุ ทำให้แจ้ง
เข้าถึงอยู่ ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งอนาคามิผล, อีก 3 ใน 4 ส่วน
ไม่ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งอนาคามิผล, 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระอนา-
คามีผู้อันตราปรินิพพายี ฯลฯ ผู้อุปหัจจปรินิพพายี ฯลฯ ผู้อสังขาร-
ปรินิพพายี ฯลฯ ผู้สสังขารปรินิพพายี ฯลฯ ผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐ-

คามี อีก 3 ใน 4 ส่วน ไม่เป็นพระอนาคามี ผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐ-
คามี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ละ
อะไรได้ด้วยการเห็นสมุทัย ฯลฯ ด้วยการเห็นนิโรธ ฯลฯ ด้วยการ
เห็นมรรค.
ป. ละกามราคะอย่างละเอียด พยาบาทอย่างละเอียด
และบรรดากิเลสพวกเดียวกันได้ 1 ใน 4 ส่วน.
ส. 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระอนาคามี อีก 3 ใน 4
ส่วน ไม่เป็นพระอนาคามี, 1 ใน 4 สวน ถึง ได้ บรรลุ ทำให้แจ้ง
เข้าถึงอยู่ ถูกต้องด้วยนามกายซึ่งอนาคามิผล อีก 3 ใน 4 ส่วน ไม่
ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งอนาคามิผล, 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระอนาคามี
ผู้อันตราปรินิพพายี ฯลฯ ผู้อุปหัจจปรินิพพายี ฯลฯ ผู้อสังขารปริ-
นิพพายี ฯลฯ ผู้สสังขารปรินิพพายี ฯลฯ ผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
อีก 3 ใน 4 ส่วน ไม่เป็นพระอนาคามี ผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[655] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ละ
อะไรได้ด้วยการเห็นทุกข์.
ป. ละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

และบรรดากิเลสพวกเดียวกัน 1 ใน 4 ส่วน.
ส. 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระอรหันต์ อีก 3 ใน 4
ส่วน ไม่เป็นพระอรหันต์, 1 ใน 4 ส่วน ถึง ได้ บรรลุ ทำให้แจ้ง
เข้าถึงอยู่ ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งอรหัตผล, อีก 3 ใน 4 ส่วน ไม่
ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งอรหัตผล, 1 ใน 4 ส่วนเป็นผู้ปราศจากราคะ
โทสะ โมหะแล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว บรรลุ
ประโยชน์ตนแล้ว มีเครื่องผูกไว้ในภพ สิ้นไปรอบแล้ว พ้นวิเศษแล้ว
เพราะรู้ชอบ มีลิ่มอันยกขึ้นแล้ว มีคูอันกลบแล้ว มีเสาระเนียดอัน
ถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้ไม่มีลิ่มสลัก เป็นอริยะ ลดธง คือมานะ
วางภาระแล้ว หมดเครื่องผูกพันแล้ว มีชัยชนะอย่างดีวิเศษแล้ว ท่าน
กำหนดรู้ทุกข์แล้ว ละสมุทัยแล้ว ทำนิโรธให้แจ้งแล้ว ยังมรรคให้เกิด
แล้ว รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งแล้ว กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้แล้ว
ละธรรมที่ควรละแล้ว บำเพ็ญธรรมที่ควรบำเพ็ญแล้ว ฯลฯ ทำให้แจ้ง
ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว อีก 3 ใน 4 ส่วน ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่ง
ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ละ
อะไรได้ด้วยการเห็นสมุทัย ฯลฯ ด้วยการเห็นนิโรธ ฯลฯ ด้วยการ
เห็นมรรค.
ป. ละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

และบรรดากิเลสพวกเดียวกันได้ 1 ใน 4 ส่วน.
ส. 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระอรหันต์ อีก 3 ใน 4
ไม่เป็นพระอรหันต์, 1 ใน 4 ส่วน ถึง ได้ บรรลุ ทำให้แจ้ง เข้า
ถึงอยู่ ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งอรหัตผล อีก 3 ใน 4 ส่วน ไม่ถูก
ต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่งอรหัตผล. 1 ใน 4 ส่วน เป็นผู้ปราศจากราคะ
โทสะ โมหะแล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว บรรลุ
ประโยชน์ตนแล้ว มีเครื่องผูกไว้ในภพสิ้นไปรอบแล้ว พ้นวิเศษแล้ว
เพราะรู้ชอบ มีลิ่มสลักอันยกขึ้นแล้ว มีคูอันกลบแล้ว มีเสาระเนียด
อันถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้ไม่มีลิ่มสลัก เป็นอริยะ ลดธง คือมานะ
แล้ว มีเครื่องผูกพันแล้ว มีชัยชนะอย่างดีวิเศษแล้ว ท่านกำหนด
รู้ทุกข์แล้ว ละสมุทัยแล้ว ทำนิโรธให้แจ้งแล้ว ยังมรรคให้เกิดขึ้นแล้ว
รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งแล้ว กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้แล้ว ละ
ธรรมที่ควรละแล้ว บำเพ็ญธรรมที่ควรบำเพ็ญแล้ว ฯลฯ ทำให้แจ้ง
ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว อีก 3 ใน 4 ส่วน ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่ง
ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[656] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล เมื่อ
เห็นทุกข์ พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เมื่อเห็นทุกข์แล้ว พึงกล่าวว่า ผู้ตั้งอยู่แล้วใน
ผล หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เมื่อเห็นสมุทัย ฯลฯ เมื่อเห็นนิโรธ พึงกล่าว
ว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เมื่อเห็นนิโรธแล้ว พึงกล่าวว่า ผู้ตั้งอยู่แล้วใน
ผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[657] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล เมื่อ
เห็นมรรค พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นมรรคแล้ว พึงกล่าว
ว่า ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เมื่อเห็นทุกข์ พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อ
เห็นทุกข์แล้ว พึงกล่าวว่า ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เมื่อเห็นมรรค พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว
เมื่อเห็นมรรคแล้ว พึงกล่าวว่า ผู้ตั้งอยู่แล้ว
ในผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เมื่อเห็นสมุทัย ฯลฯ เมื่อเห็นนิโรธ พึงกล่าว

ว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นนิโรธแล้ว พึง
กล่าวว่า ตั้งอยู่แล้วในผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[658] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล เมื่อ
เห็นทุกข์ พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นทุกข์แล้ว ไม่พึงกล่าว
ว่า เป็นผู้ที่ควรกล่าวว่าตั้งอยู่แล้วในผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เมื่อเห็นมรรค พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว
เมื่อเห็นมรรคแล้ว ไม่พึงกล่าวว่า เป็นผู้ที่ควรกล่าวว่าตั้งอยู่แล้วในผล
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เมื่อเห็นสมุทัย ฯลฯ เมื่อเห็นนิโรธ พึงกล่าว
ว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นนิโรธแล้ว ไม่พึงกล่าวว่า เป็นผู้ที่ควร
กล่าวว่าตั้งอยู่แล้วในผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เมื่อเห็นมรรค พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว
เมื่อเห็นมรรคแล้ว ไม่พึงกล่าวว่า เป็นผู้ที่ควร
กล่าวว่าตั้งอยู่แล้วในผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[659] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล เมื่อ
เห็นทุกข์ พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นทุกข์แล้ว ไม่พึงกล่าว

ว่า เป็นผู้ที่ควรกล่าวว่าตั้งอยู่แล้วในผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. การเห็นทุกข์ไร้ประโยชน์ หรือ
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เมื่อเห็นสมุทัย ฯลฯ เมื่อเห็นนิโรธ พึงกล่าว
ว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นนิโรธแล้ว ไม่พึงกล่าวว่า เป็นผู้ที่ควร
กล่าวว่าตั้งอยู่แล้วในผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. การเห็นนิโรธไร้ประโยชน์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[660] ป. เมื่อเห็นทุกข์แล้ว สัจจะ 4 ก็เป็นอันได้เห็น
แล้ว หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ป. ทุกขสัจเป็นสัจจะ 4 หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่านั้น ฯลฯ
[661] ส. เมื่อเห็นรูปขันธ์โดยความไม่เที่ยงแล้ว ขันธ์ 5
ก็เป็นอันได้เห็นโดยความไม่เที่ยง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปขันธ์เป็นขันธ์ 5 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

[662] ส. เมื่อเห็นจักขายตนะโดยความไม่เที่ยงแล้ว อาย-
ตนะ 12 ก็เป็นอันได้เห็นโดยความไม่เที่ยง
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. จักขายตนะเป็นอายตนะ 12 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[663] ส. เมื่อเห็นจักขุธาตุโดยความไม่เที่ยงแล้ว ธาตุ 18
ก็เป็นอันได้เห็นโดยความไม่เที่ยง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. จักขุธาตุเป็นธาตุ 18 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[664] ส. เมื่อเห็นจักขุนทรีย์ โดยความไม่เที่ยงแล้ว
อินทรีย์ 22 ก็เป็นอันได้เห็นโดยความไม่เที่ยง
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. จักขุนทรีย์ เป็นอินทรีย์ 22 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[665] ส. บุคคลทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลได้ด้วยญาณ 4
หรือ1 ?
1. ญาณ 4 คือ ญาณในอริยสัจ 4.

ป. ถูกแล้ว.
ส. โสดาปัตติผล เป็น 4 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลได้ด้วยญาณ 8
หรือ1 ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. โสดาปัตติผลเป็น 8 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลได้ด้วยญาณ 12
หรือ2 ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. โสดาปัตติผลเป็น 12 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลด้วยญาณ 44
หรือ3 ?
ป. ถูกแล้ว.
1. ญาณ 8 คือ ญาณในอริยสัจ 4 และญาณในปฏิสัมภิทา 4.
2. ญาณ 12 คือ ญาณในปฏิจจสมุปบาทอันมีองค์ 12.
3. ญาณ 44 คือ ญาณวัตถุ 44 ที่มาใน สํ. นิ. 16/119.

ส. โสดาปัตติผล เป็น 44 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลได้ด้วยญาณ 77
หรือ1 ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. โสดาปัตติผลเป็น 77 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[666] ป. ไม่พึงกล่าวว่า ตรัสรู้ธรรมโดยลำดับ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย มหาสมุทรลาดไปโดยลำดับ ลุ่มไปโดยลำดับ ลึกไป
โดยลำดับ มิได้ลึกเป็นเหวแต่เบื้องต้นทีเดียว แม้ฉันใด ใน
ธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเทียวแล เป็นการศึกษาโดยลำดับ เป็น
การกระทำโดยลำดับ เป็นการปฏิบัติโดยลำดับ มิได้เป็นการแทง
ตลอดโดยรู้ทั่วถึงแต่เบื้องต้นทีเดียว
ดังนี้2 เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่
หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
1. ญาณ 77 คือ ญาณวัตถุ 77 ที่มาใน สํ. นิ. 16/127.
2. องฺ อฏฺฐก. 23/110.

ป. ถ้าอย่างนั้น การตรัสรู้ธรรมก็เป็นการตรัสรู้
โดยลำดับน่ะสิ.
[667] ป. ไม่พึงกล่าวว่า ตรัสรู้ธรรมโดยลำดับ หรือ ?
ถูกแล้ว.
ป. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ผู้เป็นปราชญ์
พึงกำจัดมลทินของตนทีละน้อย ๆ ทุก ๆ ขณะโดยลำดับ ดุจช่าง
ทองกำจัดมลทินทอง
ฉะนั้น ดังนี้1 เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. ถ้าอย่างนั้น การตรัสรู้ธรรมก็เป็นการตรัสรู้โดย
ลำดับน่ะสิ.
[668] ส. การตรัสรู้ธรรมเป็นการตรัสรู้โดยลำดับ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ท่านพระควัมปติเถระได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลาย ดังนี้
ว่า คำนี้ข้าพเจ้าได้สดับมาโดยตรง ได้รับมาโดยตรงต่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นย่อม
เห็นเหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์ด้วย ย่อมเห็นธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์
ด้วย ย่อมเห็นปฏิปทาอันให้ถึงธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ด้วย ผู้ใด
เห็นเหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ผู้นั้นย่อมเห็นทุกข์ด้วย ย่อมเห็นธรรม

1. ขุ. ธ. 25/28.

เป็นที่ดับแห่งทุกข์ด้วย ย่อมเห็นปฏิปทาให้ถึงธรรมเป็นที่ดับแห่ง
ทุกข์ด้วย ผู้ใดเห็นธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ ผู้นั้นย่อมเห็นทุกข์
ด้วย ย่อมเห็นเหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์ด้วย ย่อมเห็นปฏิปทาอัน
ให้ถึงธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ ผู้ใดเห็นปฏิปทาอันให้ถึงธรรมเป็น
ที่ดับแห่งทุกข์ ผู้นั้นย่อมเห็นทุกข์ด้วย ย่อมเห็นเหตุเกิดขึ้น
แห่งทุกข์ด้วย ย่อมเห็นธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ด้วย
ดังนี้1 เป็น
สูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า การตรัสรู้ธรรม
เป็นการตรัสรู้โดยลำดับ.
[669] ส. การตรัสรู้ธรรมเป็นการตรัสรู้โดยลำดับ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า พร้อมกับการ
ถึงพร้อมด้วยทัศนะของท่าน พระโสดาบัน ท่าน ฯลฯ เป็น
ผู้ไม่ควรทำความผิดสถานหนัก 6 ประการ
ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริง
มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า การตรัสรู้ธรรม
เป็นการตรัสรู้โดยลำดับ.
1. สํ. มหา. 19/1711.

[670] ส. การตรัสรู้ธรรมเป็นการตรัสรู้โดยลำดับ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย สมัยใดธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากผงฝ้า
ได้เกิดขึ้นแก่พระอริยสาวกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็น
ธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา สมัยนั้น
พร้อมกับความเกิดขึ้นแห่งโสดาปัตติมรรค อริยสาวกนั้นละสัญ-
โยชน์ได้ 3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
ดังนี้
เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า การตรัสรู้ธรรม
เป็นการตรัสรู้โดยลำดับ.
อนุปุพพาภิสมยกถา จบ

อรรถกถาอนุปุพพาภิสมยกถา


ว่าด้วยการตรัสรู้โดยลำดับ


บัดนี้ เป็นเรื่องการตรัสรู้โดยลำดับ. ในเรื่องนั้น ลัทธิแห่งการ
ตรัสรู้ต่าง ๆ ของชนเหล่าใด ดุจลัทธิของนิกายอันธกะ นิกายสัพพัตถิกะ
นิกายสมิติยะ และนิกายภัทรยานิกะทั้งหลายในขณะนี้อันเกิดขึ้นแล้ว