เมนู

อรรถกถาวจีเภทกถา


ว่าด้วยการเปล่งวาจา


บัดนี้ ชื่อว่า เรื่องการเปล่งวาจา. ในปัญหานั้น ชนเหล่าใด
มีลัทธิคือความเห็นผิด ดุจนิกายทั้งหลาย มีกายปุพพเสลิยะ เป็นต้น
ในขณะนี้ว่า เมื่อบุคคลเข้าปฐมฌานในขณะแห่งโสดาปัตติมรรคเกิด
เขาย่อมเปล่งวาจาว่า ทุกข์ ดังนี้ สกวาทีหมายถึงชนเหล่านั้น จึงถามว่า
การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่หรือ คำตอบรับรอง เป็นของ
ปรวาที เพราะตั้งอยู่ในลัทธิ. ถูกถามหมายเอาภพทั้ง 3 ด้วยคำว่า ใน
ภพทั้งปวง
อีก ปรวาทีปฏิเสธหมายเอาอรูปภพ. ถูกถามถึงกาลด้วย
คำว่า ในกาลทั้งปวง ปรวาทีปฏิเสธโดยหมายเอากาลเป็นที่เข้าฌาน
ทั้งปวงอื่นนอกจากการเข้าฌานอันประกอบด้วยปฐมฌานในขณะแห่ง
โสดาปัตติมรรค. ถูกถามด้วยคำว่า ของผู้เข้าฌานทั้งปวง ปรวาที
ปฏิเสธหมายเอาผู้เข้าโลกียสมาบัติ. ถูกถามว่า ในสมาบัติทั้งปวง
หรือ ?
ก็ตอบปฏิเสธหมายเอาโลกุตตรอันสัมปยุตด้วยทุติยฌาน และ
โลกิยสมาบัติทั้งปวง ฯ คำว่า การไหวกาย ได้แก่ กายวิญญัติ
คือการเคลื่อนไหวทางกาย อันเป็นไปด้วยสามารถแห่งอิริยาบถทั้งหลาย
มีการก้าวไปข้างหน้า เป็นต้น. สกวาทีนั้นย่อมถามเพื่อท้วงด้วยคำว่า
จิตเหล่าใด ย่อมยังวจีวิญญัติให้เกิดขึ้น จิตเหล่านั้นนั้นแหละย่อม
ยังกายวิญญัติให้เกิดขึ้นเช่นกัน ครั้นเมื่อความเป็นเช่นนั้นมีอยู่ เพราะ
เหตุไร แม้การไหวกายจึงไม่มี. ปรวาทีตอบปฏิเสธด้วย ตอบรับรองด้วย
ด้วยสามารถแห่งลัทธิ.

บัดนี้ ท่านกล่าวปัญหาทั้งหลาย มีคำว่า เมื่อรู้ว่าทุกข์
เป็นต้น เพื่อท้วงด้วยคำว่า ถ้าว่าบุคคลนั้นย่อมกล่าววาจาในขณะแห่ง
มรรคว่า ทุกข์ ดังนี้ไซร้ เขาก็พึงกล่าวแม้ซึ่งคำว่า สมุทัย
เป็นต้น หรือว่าถ้าเขาย่อมไม่กล่าวคำนั้นไซร้ เขาก็ไม่พึงกล่าวคำแม้
นอกนี้ ดังนี้ ฝ่ายปรวาทีตอบรับรองด้วย ตอบปฏิเสธด้วย ด้วยสามารถ
แห่งลัทธิของตน จริงอยู่ ลัทธิของเขาว่า บุคคลเข้าโลกุตตรปฐมฌาน
แล้วย่อมเห็นแจ้งซึ่งทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ดังนี้.
คำว่า ญาณ ได้แก่สัจจญาณ อันเป็นโลกุตตระ. คำว่า
โสตํ ท่านประสงค์เอาโสตวิญญาณ อธิบายว่า ย่อมฟังเสียงนั้น
ด้วยจิตใด.
คำว่า การประชุมแห่งผัสสะทั้ง 2 ได้แก่ แห่งโสตสัมผัส
และมโนสัมผัส. ข้อว่า ก็ต้องไม่กล่าวว่า อธิบายว่า ถ้าว่าการ
เปล่งวาจามีแก่ผู้เข้าฌานอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้ ก็ต้องไม่กล่าวว่า การ
เปล่งวาจามีแก่ผู้เข้าฌานอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย คำที่เหลือในที่นี้ พร้อม
ทั้งการชำระพระสูตรมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
อนึ่ง พระสูตรที่ปรวาทีนำมาในที่สุดแห่งปัญหาว่า ดูก่อน
อานนท์ สาวกชื่อว่า อภิภู ของพระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้า พระนามว่า สุขี สถิตอยู่ในพรหมโลก ได้ประกาศ
กะหมื่นโลกธาตุด้วยเสียงว่า ท่านทั้งหลาย จงเริ่มต้น จงบากบั่น
จงประกอบความเพียรในพระพุทธศาสนา จงกำจัดเสนาของ
พระยามัจจุราช ฯ ล ฯ

ในพระสูตรนั้น การเปล่งวาจานั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยจิตแห่ง
สมาบัติใด แม้กายเภทคือการไหวกายก็ย่อมเกิดขึ้นด้วยจิตแห่งสมาบัติ
นั้นนั่นแหละ แต่จิตที่ทำให้วจีวิญญัติและกายวิญญัติเกิดนั้น ไม่ใช่
ปฐมฌานจิตที่เป็นโลกุตตระ เพราะฉะนั้น พระสูตรที่ปรวาทีนำมานั้น
จึงไม่สำเร็จประโยชน์ ดังนี้แล.
อรรถกถาวจีเภทกถา จบ

ทุกขาหารกถา


[622] สกวาที การกล่าวว่า ทุกข์ เป็นองค์ของมรรค
นับเนืองในมรรค หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. ทุกคนที่กล่าวคำว่าทุกข์ ชื่อว่ายังมรรคให้เกิดได้
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[623] ส. ทุกคนที่กล่าวคำว่าทุกข์ ชื่อว่ายังมรรคให้เกิดได้
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พาลปุถุชนที่กล่าวคำว่าทุกข์ ก็ชื่อว่ายังมรรคให้
เกิดได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. บุคคลผู้ฆ่ามารดา ฯ ล ฯ ผู้ฆ่าบิดา ผู้ฆ่าพระ-
อรหันต์ ผู้ทำโลหิตุบาท ฯ ล ฯ ผู้ทำสังฆเภท
กล่าวคำว่าทุกข์ ก็ชื่อว่ายังมรรคให้เกิดได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ทุกขาหารกถา จบ