เมนู

กังขากถา


[522] สกวาที ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. วิจิกิจฉา วิจิกิจฉาปริยุฏฐาน วิจิกิจฉาสัญโญชน์
วิจิกิจฉานิวรณ์ ของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[523] ส. วิจิกิจฉา วิจิกิจฉาปริยุฏฐาน วิจิกิจฉาสัญโญชน์
วิจิกิฉานิวรณ์ ของพระอรหันต์ไม่มี หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า วิจิกิจฉา วิจิกิจฉาปริยุฏฐาน วิจิกิจฉา-
สัญโญชน์ วิจิกิจฉานิวรณ์ ของพระอรหันต์ไม่มี ก็ต้องไม่กล่าวว่า
ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่.
[524] ส. ความสงสัยของปุถุชนมีอยู่ และวิจิกิจฉา วิจิ-
กิจฉาปริยุฏฐาน วิจิกิจฉาสัญโญชน์ วิจิกิจฉานิวรณ์ ของเขาก็ยังมีอยู่
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ และวิจิกิจฉา
วิจิกิจฉาปริยุฏฐาน วิจิกิจฉาสัญโญชน์ วิจิกิจฉานิวรณ์ ของท่านก็ยังมี
อยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ

[525] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ แต่วิจิกิจฉา
วิจิกิจฉาปริยุฏฐาน วิจิกิจฉาสัญโญชน์ วิจิกิจฉานิวรณ์ ของท่านไม่มี
อยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความสงสัยของปุถุชนมีอยู่ แต่วิจิกิจฉา วิจิกิจ-
ฉาปริยุฏฐาน วิจิกิจฉาสัญโญชน์ วิจิกิจฉานิวรณ์ ของเขาไม่มีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[526] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความสงสัยในพระศาสดา ความสงสัยในพระ-
ธรรม ความสงสัยในพระสงฆ์ ความสงสัยในสิกขา ความสงสัยใน
ส่วนอนาคต ความสงสัยในส่วนอดีต ความสงสัยทั้งในส่วนอนาคตและ
ส่วนอดีต ความสงสัยในปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะธรรมนี้เป็น
ปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[527] ส. ความสงสัยในพระศาสดา ความสงสัยในพระ-
ธรรม ความสงสัยในพระสงฆ์ ฯลฯ ความสงสัยในปฏิจจสมุปปาท-
ธรรมว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ของพระอรหันต์
ไม่มี หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. หากว่า ความสงสัยในพระศาสดา ความสงสัย
ในพระธรรม ฯลฯ ความสงสัยในปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะธรรมนี้
เป็นปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ของพระอรหันต์ไม่มี ก็ต้องไม่กล่าวว่า
ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่.
[528] ส. ความสงสัยของปุถุชนมีอยู่ และความสงสัยใน
พระศาสดา ความสงสัยในพระธรรม ฯลฯ ความสงสัยในปฏิจจสมุป-
ปาทธรรมว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ของเขาก็ยังมี
อยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความสงสัยของพระอรหันต์ยังมีอยู่ และความ
สงสัยในพระศาสดา ความสงสัยในพระธรรม ฯลฯ ความสงสัยใน
ปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้เกิดขึ้น ของ
ท่านก็ยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[529] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ แต่ความสงสัย
ในพระศาสดา ความสงสัยในพระธรรม ฯ ล ฯ ความสงสัยในปฏิจจ-
สมุปปาทธรรมว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ของท่าน
ไม่มีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความสงสัยของปุถุชนมีอยู่ แต่ความสงสัยใน

พระศาสดา ความสงสัยในพระธรรม ฯ ลฯ ความสงสัยในปฏิจจสมุป-
ปาทธรรมว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ของเขาไม่มี
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[530] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ราคะอันพระอรหันต์ละขาดแล้ว ถอนรากขึ้น
แล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ทำให้ไม่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง ทำให้
มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า ราคะอันพระอรหันต์ละขาดแล้ว ถอน
รากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ทำให้เกิดขึ้นได้ในภายหลัง
ทำให้มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า ความ
สงสัยของพระอรหันต์มีอยู่.
[531] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. โทสะ ฯ ล ฯ โมหะ ฯ ล ฯ อโนตตัปปะ อัน
พระอรหันต์ละขาดแล้ว ฯ ล ฯ พระอรหันต์ยังมรรคให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ
ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ เพื่อละขาดซึ่งราคะ มิใช่หรือ ฯ ล ฯ ยัง
มรรคให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว เพื่อละขาดซึ่งอโนต-

ตัปปะ ฯลฯ พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะแล้ว ทำให้
แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจาก ราคะ โทสะ
โมหะแล้ว ฯลฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว ก็ต้องไม่กล่าว
ว่า ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่.
[532] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ความสงสัยของพระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของ
ตนมีอยู่ แต่ความสงสัยไม่มีแก่พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่น.
ส. ความสงสัยของพระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของ
ตนมีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความสงสัยของพระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่น
มีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[533] ส. ความสงสัยไม่มีแก่พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรม
อื่น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความสงสัยไม่มีแก่พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรม
ของตน หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[534] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตนละขาดราคะ
แล้ว แต่ความสงสัยของท่านยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่นละขาดราคะแล้ว
แต่ความสงสัยของท่านยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[535 ] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตนละขาดโทสะ
แล้ว ฯ ล ฯ ละขาดโมหะแล้ว ฯ ล ฯ ละขาดอโนตตัปปะแล้ว ฯ ล ฯ
ยังมรรคให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว เพื่อละขาดซึ่งราคะ
ฯ ล ฯ ยังมรรคให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว เพื่อละขาด
ซึ่งโทสะ ฯ ล ฯ เพื่อละขาดซึ่งอโนตตัปปะ หรือ ฯลฯ
[536] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตน เป็นผู้
ปราศจากราคะโทสะโมหะแล้ว ฯ ล ฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง
แล้ว แต่ความสงสัยของท่านยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่น เป็นผู้ปราศจาก
ราคะโทสะโมหะแล้ว ฯ ล ฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว แต่
ความสงสัยของท่านยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

[537] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่นละขาดราคะแล้ว
และความสงสัยของท่านก็ไม่มี หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตนละขาดราคะ
แล้ว และความสงสัยของท่านก็ไม่มี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[538] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่นละขาดโทสะแล้ว
ฯ ล ฯ ละขาดโมหะแล้ว ฯ ล ฯ ละขาดอโนตตัปปะแล้ว ฯ ล ฯ ยังมรรค
ให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว เพื่อละขาดซึ่งโทสะ ฯ ล ฯ
เพื่อละขาดซึ่งอโนตตัปปะหรือ ฯ ล ฯ
[539] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่น เป็นผู้ปราศจาก
ราคะ โทสะ โมหะแล้ว ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว และ
ความสงสัยของท่านก็ไม่มี หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตน เป็นผู้
ปราศจากราคะ โทสะ โมหะแล้ว ฯ ล ฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้
แจ้งแล้ว และความสงสัยของท่านก็ไม่มี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[540] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นอาสวะสำหรับผู้ที่รู้อยู่เห็นอยู่ ไม่
กล่าวสำหรับผู้ที่ไม่รู้อยู่ไม่เห็นอยู่. ก็บุคคลผู้รู้อยู่อย่างไรเห็นอยู่
อย่างไร ความสิ้นอาสวะจึงมีได้ บุคคลผู้รู้อยู่ว่า อย่างนี้รูป ฯลฯ
อย่างนี้ความดับแห่งวิญญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้รู้อยู่
อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้แล ความสิ้นอาสวะจึงมีได้
ดังนี้1 เป็นสูตร
มีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า ความสงสัยของ
พระอรหันต์มีอยู่.
[541] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นอาสวะสำหรับผู้ที่รู้อยู่เห็นอยู่ ไม่
กล่าวสำหรับผู้ที่ไม่รู้อยู่ไม่เห็นอยู่. ก็บุคคลผู้รู้อยู่อย่างไรเห็นอยู่
อย่างไร ความสิ้นอาสวะ จึงมีได้ บุคคลรู้อยู่ว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ
นี้ทางให้ถึงธรรมเป็นที่ดับแห่งทุกข์ ดังนี้ ความสิ้นอาสวะจึงมี

1. ขุ. อิติ. 25/293.

ได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้แล ความสิ้น
อาสวะจึงมีได้
ดังนี้1 เป็นสูตรที่มีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า ความสงสัยของ
พระอรหันต์มีอยู่.
[542] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บุคคลเมื่อไม่รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ไม่กำหนดรู้ ไม่สำ-
รอก ไม่ละซึ่งสิ่งทั้งปวง ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อความสิ้นทุกข์ ต่อ
เมื่อรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง กำหนดรู้ สำรอก ละซึ่งสิ่งทั้งปวง จึง
เป็นผู้ควรเพื่อความสิ้นทุกข์
ดังนี้2 เป็นสูตรมีอยู่จริงมิใช่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า ความสงสัยของ
พระอรหันต์มีอยู่.
[543] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
1. ขุ. อิติ. 25/293.
2. ขุ.อุ. 25/38,39,40

ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า พร้อมกับการ
บรรลุโสดาปัตติมรรคของท่าน ฯลฯ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะทำความ
ผิดสถานหนัก 6 ประการ
ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า ความสงสัยของ
พระอรหันต์มีอยู่.
[544] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ในสมัยใด ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากผงฝ้า เกิดขึ้น
แก่อริยสาวกว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น
ทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้ ในสมัยนั้น พร้อมกับ
ความเกิดขึ้นแห่งทัศนะ อริยสาวกก็ละสัญโญชน์ได้ 3 ประการ
คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
ดังนี้ เป็นสูตรมี
อยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า ความสงสัยของ
พระอรหันต์มีอยู่.
[545] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เมื่อใดแล
ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น
ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมวับหายไป เพราะมารู้
ธรรมกับทั้งเหตุ.

เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้
มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น
ย่อมวับหายไป เพราะได้รู้ถึงความสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย.

เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น พราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและ
เสนามารเสียได้ ดุจดวงอาทิตย์อุทัยกำจัดมืด ยังอากาศให้สว่าง
ฉะนั้น.1

ความสงสัยในโลกนี้หรือโลกอื่น ในประวัติ
ของตน หรือในประวัติของผู้อื่นไม่ว่าอย่างใด ผู้มีความเพียร
ประพฤติพรหมจรรย์เพ่งอยู่ ย่อมละความสงสัยเหล่านั้นได้หมด.1

บุคคลเหล่าใด ข้ามความสงสัยทั้งหลายเสียได้
ในเมื่อคนทั้งหลายยังมีความสงสัยอยู่ เป็นผู้ไม่มีความสงสัย ไม่
ข้องขัด ทานที่ให้ในบุคคลเหล่านั้นมีผลมาก.

การประกาศธรรมในพระศาสนานี้ เป็นเช่นนี้
1. ขุ.อุ. 25/123.

บรรดาพระสาวกเหล่านั้น องค์ไรหรือจะยังสงสัย ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ขอนมัสการพระพุทธเจ้าผู้จอมคน ทรงข้ามพ้นห้วงสังสารวัฏ
และทรงตัดความสงสัยเสียได้
ดังนี้1 เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า ความสงสัยของ
พระอรหันต์มีอยู่.
[546] ป. ไม่พึงกล่าวว่า ความสงสัยของพระอรหันต์ ยัง
มีอยู่ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระอรหันต์ อาจสงสัยในนามและโคตรของ
สตรีและบุรุษ อาจสงสัยในทางและมิใช่ทาง อาจสงสัยในชื่อของ หญ้า
ไม้ และต้นไม้เจ้าป่าก็ได้ มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. หากว่า พระอรหันต์อาจสงสัยในนามและโคตร
ของสตรีและบุรุษ อาจสงสัยในทางและมิใช่ทาง อาจสงสัย ในชื่อของ
หญ้า ไม้ และต้นไม้เจ้าป่าก็ได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า
ความสงสัยของพระอรหันต์ ยังมีอยู่.
ส. เพราะพระอรหันต์ อาจสงสัยในนามและโคตร
ของสตรี และบุรุษ อาจสงสัยในทางมิใช่ทาง อาจสงสัยในชื่อของหญ้า
1. ที. มหา. 10/325.

ไม้ และต้นไม้เจ้าป่าก็ได้ ฉะนั้น ความสงสัยของพระอรหันต์จึงยังมี
อยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ อาจสงสัยในโสดาปัตติผล หรือ
ในสกทาคามิผล หรือในอนาคามิผล หรือใน
อรหัตผลก็ได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
กังขากถา จบ

ปรวิตารณากถา


[547] สกวาที การแนะนำของผู้อื่น สำหรับพระอรหันต์
ยังมีอยู่ หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์อันผู้อื่นพึงนำไปได้ อันผู้อื่นพึงจูง
ไปได้ อาศัยผู้อื่น เกาะผู้อื่น ไม่รู้ ไม่เห็น
หลง ไม่รู้ตัว หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[548] ส. พระอรหันต์อันผู้อื่นไม่พึงนำไปได้ อันผู้อื่นไม่
พึงจูงไปได้ ไม่อาศัยผู้อื่น ไม่เกาะผู้อื่น รู้
เห็น ไม่หลง รู้ตัวอยู่ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์อันผู้อื่นไม่พึงนำไปได้ อัน
ผู้อื่นไม่พึงจูงไปได้ ไม่อาศัยผู้อื่น ไม่เกาะผู้อื่น รู้ เห็น ไม่หลง รู้
ตัวอยู่ ก็ต้องไม่กล่าวว่า การแนะนำของผู้อื่น สำหรับพระอรหันต์ยัง
มีอยู่
[549] ส. การแนะนำของผู้อื่นสำหรับปุถุชนมีอยู่ และเขา
ผู้อื่นพึงนำไปได้ อันผู้อื่นพึงจูงไปได้ อาศัยผู้อื่น เกาะผู้อื่น ไม่รู้ ไม่
เห็น หลง ไม่รู้ตัว หรือ ?