เมนู

วรรคที่ 2


ปรูปหารกถา


[446] สกวาที การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มี
อยู่ หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. ราคะ กามราคะ ความกลุ้มรุมแห่งกามราคะ
สัญโญชน์คือกามราคะ โอฆะคือกาม โยคะคือกาม กามฉันทนิวรณ์
ของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[447] ส. ราคะ กามราคะ ความกลุ้มรุมแห่งกามราคะ
สัญโญชน์คือกามราคะ โอฆะคือกาม โยคะคือกาม กามฉันทนิวรณ์
ไม่มีแก่พระอรหันต์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า ราคะ กามราคะ ความกลุ้มรุมแห่ง
กามราคะ สัญโญชน์คือกามราคะ โอฆะคือกาม โยคะคือกาม กาม
ฉันทนิวรณ์ไม่มีแก่พระอรหันต์ ก็ต้องไม่กล่าวว่า การปล่อยสุกกะคือ
อสุจิของพระอรหันต์มีอยู่.
[448] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของปุถุชนมีอยู่ และราคะ
กามราคะ ความกลุ้มรุมแห่งกามราคะ สัญโญชน์คือกามราคะ โอฆะ
คือกาม โยคะคือกาม กามฉันทนิวรณ์ ของเขาก็ยังมีอยู่ หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. การปล่อยสุกกะคือ อสุจิของ พระอรหันต์มีอยู่
และราคะ กามราคะ ความกลุ้มรุมแห่งกามราคะ ฯลฯ กามฉันทนิวรณ์
ของท่านก็ยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[449] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์ยังมีอยู่
แต่ราคะ กามราคะ ความกลุ้มรุมแห่งกามราคะ ฯลฯ กามฉันทนิวรณ์
ไม่มีแก่ท่าน หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของปุถุชนมีอยู่ แต่ราคะ
กามราคะ ความกลุ้มรุมแห่งกามราคะ ฯ ล ฯ กามฉันทนิวรณ์ ไม่มี
แก่เขา หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[450] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. โดยอรรถาธิบายอย่างไร ?
ป. โดยอรรถาธิบายว่า เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มาร
นำเข้าไปซึ่งการปล่อยสุกกะคืออสุจิแก่พระอรหันต์.
[451] ส. เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มาร นำเข้าไปซึ่งการ
ปล่อยสุกกะคืออสุจิแก่พระอรหันต์ได้ หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิ ของเทวดาผู้นับเนื่อง
ในหมู่มารมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[452] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิไม่มีแก่เทวดาผู้นับเนื่อง
ในหมู่มาร หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า การปล่อยสุกกะคืออสุจิไม่มีแก่เทวดา
ผู้นับเนื่องในหมู่มาร ก็ต้องไม่กล่าวว่า เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มารนำ
เข้าไปซึ่งการปล่อยสุกกะคืออสุจิแก่พระอรหันต์.
[453] ส. เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มารนำเข้าไปซึ่งการปล่อย
สุกกะ คืออสุจิแก่พระอรหันต์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มารนำเข้าไปซึ่งการปล่อย
สุกกะ คืออสุจิแก่ตนได้ นำเข้าไปซึ่งการปล่อยสุกกะคืออสุจิแก่คนอื่น ๆ
ได้ และนำเข้าไปซึ่งการปล่อยสุกกะคืออสุจิแก่บุคคลนั้นได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯล ฯ
[454] ส. เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มารนำเข้าไปซึ่งการปล่อย
สุกกะคืออสุจิแก่ตนก็ไม่ได้ แก่คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ แก่บุคคลนั้นก็ไม่ได้
หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มารนำเข้าไปซึ่ง
การปล่อยสุกกะคืออสุจิแก่ตนไม่ได้ แก่คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ แก่บุคคลนั้น
ก็ไม่ได้ ก็ต้องไม่กล่าวว่า เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มารนำเข้าไป ซึ่งการ
ปล่อยสุกกะคืออสุจิแก่พระอรหันต์.
[455 ] ส. เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มารนำเข้าไปซึ่งการปล่อย
สุกกะคืออสุจิแก่พระอรหันต์ได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. นำเข้าไปทางชุมขน หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[456] ส. เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มารนำเข้าไปซึ่งการปล่อย
สุกกะ คืออสุจิแก่พระอรหันต์ได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพราะเหตุไร ?
ป. เพราะจะยังท่านให้ตกอยู่ในความสงสัย.
ส. ความสงสัยของพระอรหันต์ยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[457] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์ยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความสงสัยในพระศาสดา ความสงสัยในพระ-

ธรรม ความสงสัยในพระสงฆ์ ความสงสัยในสิกขา ความสงสัยใน
ส่วนเบื้องต้น ความสงสัยส่วนเบื้องปลาย ความสงสัยในส่วนเบื้องต้น
และส่วนเบื้องปลาย ความสงสัยในปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะ ธรรม
นี้เป็นปัจจัย ธรรมนี้จึงเกิดขึ้นของพระอรหันต์ยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[458] ส. ความสงสัยในพระศาสดา ความสงสัยในพระ-
ธรรม ความสงสัยในพระสงฆ์ ความสงสัยในสิกขา ความสงสัยใน
ส่วนเบื้องต้น ความสงสัยในส่วนเบื้องปลาย ความสงสัยในส่วนเบื้อง
ต้นและส่วนเบื้องปลาย ความสงสัยในปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะ
ธรรมนี้เป็นปัจจัย ธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ไม่มีแก่พระอรหันต์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า ความสงสัยในพระศาสดา ฯล ฯ ความ
สงสัยในปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัย ธรรมนี้จึง
เกิดขึ้น ไม่มีแก่พระอรหันต์ ก็ต้องไม่กล่าวว่า ความสงสัยของพระ-
อรหันต์ยังมีอยู่.
[459] ส. ความสงสัยของปุถุชนยังมีอยู่ และความสงสัย
ในพระศาสดา ฯ ล ฯ ความสงสัยปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะธรรม
นี้เป็นปัจจัย ธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ของเขาก็ยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความสงสัยของพระอรหันต์ยังมีอยู่ และความ

สงสัยในพระศาสดา ฯ ล ฯ ความสงสัยในปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะ
ธรรมนี้เป็นปัจจัย ธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ของท่านก็ยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[460] ส. ความสงสัยของพระอรหันต์ยังมีอยู่ แต่ความ
สงสัยในพระศาสดา ฯลฯ ความสงสัยในปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะ
ธรรมนี้เป็นปัจจัย ธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ของท่านไม่มี หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความสงสัยของปุถุชนมีอยู่ แต่ความสงสัยใน
พระศาสดา ฯ ล ฯ ความสงสัยในปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะธรรม
นี้เป็นปัจจัย ธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ของเขาไม่มี หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความสงสัยของปุถุชนมีอยู่ แต่ความสงสัยใน
พระศาสดา ฯ ล ฯ ความสงสัยในปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะธรรม
นี้เป็นปัจจัย ธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ของเขาไม่มี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[461] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์เป็นผล
ของอะไร ?
ป. เป็นผลของการกิน การดื่ม การเคี้ยง การลิ้ม

ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์ เป็น
ผลของการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ชนเหล่าหนึ่งเหล่าใด ยังกิน ยังดื่ม ยังเคี้ยว
ยังลิ้มอยู่ การปล่อยสุกกะคืออสุจิของชนเหล่านั้นทุกจำพวกเทียวยังมีอยู่
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[462] ส. ชนเหล่าหนึ่งเหล่าใด ยังกิน ยังดื่ม ยังเคี้ยว
ยังลิ้มอยู่ การปล่อยสุกกะคืออสุจิของชนเหล่านั้นทุกจำพวกเทียวยังมีอยู่
หรือ ?
ส. พวกทารก ยังกิน ยังดื่ม ยังเคี้ยว ยังลิ้มอยู่
การปล่อยสุกกะคืออสุจิของทารกมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[463] ส. พวกบัณเฑาะก์ ยังกิน ยังกิน ยังดื่ม ยังเคี้ยว ยังลิ้มอยู่
การปล่อยสุกกะคืออสุจิของบัณเฑาะก์มีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[464] ส. พวกเทวดา ยังกิน ยังดื่ม ยังเคี้ยว ยังลิ้มอยู่
การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพวกเทวดามีอยู่ หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[465] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์ เป็นผล
ของการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ความประสงค์ของท่านมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[466] ส. อุจจาระ ปัสสาวะ ของพระอรหันต์เป็นผลของ
การกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ความ
ประสงค์ของท่านมีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์เป็นผล
ของการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ความ
ประสงค์ของท่านมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[467] ส. การปล่อยสุกกะคือ อสุจิของพระอรหันต์เป็นผล
ของการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม แต่
ความประสงค์ไม่มีแก่ท่าน หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. อุจจาระ ปัสสาวะ ของพระอรหันต์เป็นผลของ
การกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม แต่ความ
ประสงค์ไม่มีแก่ท่าน หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[468] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์พึงเสพเมถุนธรรม พึงยังเมถุน-
ธรรมให้เกิด พึงนอนที่นอนอันเบียดเสียดด้วยบุตร พึงใช้ผ้ากาสิก
พัสตร์และจุณจันทน์ พึงทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ พึง
ยินดีทองเงิน หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[469] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของปุถุชนมีอยู่ ปุถุชน
พึงเสพเมถุนธรรม ยังเมถุนธรรมให้เกิด ฯลฯ
พึงยินดีทองเงิน หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่
พระอรหันต์พึงเสพเมถุนธรรม ยังเมถุนธรรมให้เกิด ฯ ล ฯ พึงยินดี
ทองเงิน หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[470] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่ แต่
พระอรหันต์จะพึงเสพเมถุนธรรม จะพึงยังเมถุนธรรมให้เกิด ฯ ล ฯ
จะพึงยินดีทองเงิน ก็หามิได้เลย หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของปุถุชนมีอยู่ แต่
ปุถุชนจะพึงเสพเมถุนธรรม จะพึงยังเมถุนธรรมให้เกิด จะพึงนอนที่
นอนอันเบียดเสียดด้วยบุตร จะพึงใช้ผ้ากาสิกพัสตร์และจุณจันทร์ จะ
พึงทัดทรงดอกไม้ของหอมเละเครื่องลูบไล้ จะพึงยินดีทองเงิน ก็หา
มิได้เลย หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[471] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ราคะอันพระอรหันต์ละขาดแล้ว ถอนรากขึ้น
แล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ทำให้ไม่เกิดได้ในภายหลัง ทำให้มี
อันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว มิใช่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า ราคะอันพระอรหันต์ละขาดแล้ว ถอน
รากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ทำให้ไม่เกิดได้ในภายหลัง
ทำให้มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว ก็ไม่ต้องกล่าวว่า การปล่อย
สุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่.
[472] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. โทสะ ฯ ล ฯ โมหะ มานะทิฏฐิ วิจิกิจฉา
ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ ฯ ล ฯ อโนตตัปปะ อันพระอรหันต์ละขาด
แล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ทำให้ไม่เกิดได้ใน
ภายหลัง ทำให้มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว มิใช่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า อโนตตัปปะอันพระอรหันต์ละขาดแล้ว
ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ทำให้ไม่เกิดได้ในภายหลัง
ทำให้มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่าการปล่อย
สุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่.
[473] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่
หรือ ?.
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ยังมรรคให้เกิดแล้วเพื่อละขาดซึ่ง
ราคะ มิใช่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์ยังมรรคให้เกิดแล้ว เพื่อ
ละขาดซึ่งราคะ ก็ต้องไม่กล่าวว่า การปล่อย
สุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่.
[494] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่
หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ยังสติปัฏฐานให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ ยัง
สัมมัปปธานให้เกิดแล้ว ยังอิทธิบาทให้เกิดแล้ว ยังอินทรีย์ให้เกิดแล้ว
ยังพละให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้วเพื่อละขาดซึ่งราคะ
มิใช่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว
เพื่อละขาดซึ่งราคะ ก็ต้องไม่กล่าวว่าการปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระ-
อรหันต์มีอยู่.
[475] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่
หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ยังมรรคให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ ยัง
โพชฌงค์ให้เกิดแล้ว เพื่อละขาดซึ่งโทสะ ฯ ล ฯ เพื่อละขาดซึ่งโมหะ
ฯ ล ฯ เพื่อละขาดซึ่งอโนตตัปปะ มิใช่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว
เพื่อละขาดซึ่งอโนตตัปปะ ก็ต้องไม่กล่าวว่า การปล่อยสุกกะคืออสุจิ
ของพระอรหันต์ มีอยู่.
[476] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่
หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ
แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว
มีเครื่องผูกไว้ในภพสิ้นไปรอบแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ มีลิ่ม
อันยกขึ้นแล้ว มีคูอันกลบแล้ว มีเสาระเนียดอันถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้
ไม่มีลิ่มสลัก เป็นอริยะ ลดธง คือมานะ แล้ว วางภาระแล้ว หมด
เครื่องผูกพันแล้ว มีชัยชนะอย่างดีวิเศษแล้ว ท่านกำหนดรู้ทุกข์แล้ว
ละสมุทัยแล้ว ทำนิโรธให้แจ้งแล้ว ยังมรรคให้เกิดแล้ว รู้ยิ่งซึ่งธรรม
ที่ควรรู้ยิ่งแล้ว ได้กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้แล้ว ละธรรมที่ควร
ละแล้ว บำเพ็ญธรรมที่ควรบำเพ็ญแล้ว ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้
แจ้งแล้ว มิใช่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากราคะ โทสะ
โมหะแล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ฯ ล ฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำ
ให้แจ้งแล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์
มีอยู่ ?
[477] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์ยังมีอยู่
ป. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์ผู้ฉลาด
ในธรรม ของตนผู้ปัญญาวิมุตมีอยู่ การปล่อยสุกกะคืออสุจิไม่มีแก่
พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่น ผู้อุภโตภาควิมุต.

ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์ ผู้ฉลาด
ในธรรมของตนมีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์ ผู้ฉลาด
ในธรรมอื่นมีอยู่ หรือ
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[478] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิไม่มีแก่พระอรหันต์ ผู้
ฉลาดในธรรมอื่น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิไม่มีแก่พระอรหันต์ ผู้
ฉลาดในธรรมของตน หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[479] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตน ละขาด
ราคะแล้ว แต่การปล่อยสุกกะคืออสุจิของท่าน
ยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่นละขาดราคะแล้ว
แต่การปล่อยสุกกะคืออสุจิของท่านยังมีอยู่
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

[480] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตนละขาดโทสะ
แล้วละขาดโมหะแล้ว ฯลฯ ละขาดอโนตตัปปะแล้ว แต่การปล่อย
สุกกะคืออสุจิของท่านยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่นละขาดอโนต-
ตัปปะแล้ว แต่การปล่อยสุกกะคืออสุจิของท่าน
ยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[481] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตนยังมรรคให้
เกิดแล้ว ฯ ล ฯ ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว เพื่อละขาดซึ่งราคะ ฯ ล ฯ
เพื่อละขาดซึ่งโทสะ ฯลฯ เพื่อละขาดซึ่งโมหะ ฯ ล ฯ เพื่อละขาดซึ่ง
อโนตตัปปะ แต่การปล่อยสุกกะคืออสุจิของท่านยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่น ยังโพชฌงค์ให้
เกิดแล้ว เพื่อละขาดซึ่งอโนตตัปปะ แต่การปล่อยสุกกะคืออสุจิของท่าน
ยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[482] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตน เป็นผู้
ปราศจากราคะ โทสะ โมหะแล้ว ฯ ล ฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำ
ให้แจ้งแล้ว แต่การปล่อยสุกกะคืออสุจิของท่านยังมีอยู่ หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่นเป็นผู้ปราศจาก
ราคะ โทสะ โมหะแล้ว ฯ ล ฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว
แต่การปล่อยสุกกะคืออสุจิของท่านยังมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[483] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่นละขาดแล้ว และ
การปล่อยสุกกะคืออสุจิก็ไม่มีแก่ท่าน หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตนละขาดราคะ
แล้ว และการปล่อยสุกกะคืออสุจิก็ไม่มีแก่ท่าน หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[484] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่นละขาดโทสะแล้ว
ละขาดโมหะแล้ว ฯ ล ฯ ละขาดอโนตตัปปะแล้ว และการปล่อยสุกกะ
คืออสุจิก็ไม่มีแก่ท่าน หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตน ละอโนต-
ตัปปะแล้ว และการปล่อยสุกกะคืออสุจิก็ไม่มีแก่ท่าน หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[485] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่น ยังมรรคให้เกิด
แล้ว ฯ ล ฯ ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว เพื่อละขาดซึ่งราคะ ฯ ล ฯ เพื่อ

ละขาดซึ่งโทสะ เพื่อละขาดซึ่งโมหะ ฯ ล ฯ ยังมรรคให้เกิดแล้ว ฯลฯ
ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว เพื่อละขาดซึ่งอโนตตัปปะ และการปล่อย
สุกกะคืออสุจิไม่มีแก่ท่าน หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตนยังโพชฌงค์
ให้เกิดแล้ว เพื่อละขาดซึ่งอโนตตัปปะ และการปล่อยสุกกะคืออสุจิไม่
มีแก่ท่าน หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[486] ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมอื่น เป็นผู้ปราศจาก
ราคะ โทสะ โมหะ ฯ ล ฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว และ
การปล่อยสุกกะคืออสุจิไม่มีแก่ท่าน หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้ฉลาดในธรรมของตน เป็นผู้
ปราศจากราคะ โทสะ โมหะแล้ว ฯ ล ฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำ
ให้แจ้งแล้ว และการปล่อยสุกกะคืออสุจิไม่มีแก่ท่าน หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[487] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ
ป ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ-
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใด เป็นปุถุชน ถึงพร้อมด้วยศีล มีสติ-

สัมปชัญญะ ก้าวลงสู่ความหลับ อสุจิของภิกษุเหล่านั้น ย่อม
ไม่เคลื่อน แม้ฤๅษีนอกศาสนาเหล่าใด เป็นผู้ปราศจากราคะ
ในกามแล้ว อสุจิของพวกฤาษีเหล่านั้น ก็หาเคลื่อนไม่ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่อสุจิของพระอรหันต์จะพึงเคลื่อนนี้ มิใช่
ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะเป็นไปได้
ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริงมิใช่
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงไม่กล่าวว่า การปล่อยสุกกะ
คืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่.
[488] ป. ไม่พึงกล่าวว่า มีการนำเข้าไปสู่แห่งผู้อื่นแก่พระ-
อรหันต์ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. ผู้อื่นพึงนำเข้าไปซึ่งจีวร บิณฑาต เสนาสนะ
คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แก่พระอรหันต์ มิใช่
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าผู้อื่นพึงนำเข้าไปซึ่งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แก่พระอรหันต์ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้อง
กล่าวว่า มีการนำปัจจัยเข้าไปแห่งผู้อื่นแก่พระอรหันต์ หรือ ?
[489] ส. เพราะผู้อื่นพึงนำเข้าไปซึ่งจีวร บิณฑบาต เสนา-
สนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แก่พระอรหันต์ ฉะนั้น จึงมีการนำ

เข้าไปแห่งผู้อื่น แก่พระอรหันต์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ผู้อื่นพึงนำเข้าไป ซึ่งโสดาปัตติผล หรือสกทา-
คามิผล หรืออนาคามิผล หรืออรหัตผล แก่พระอรหันต์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ปรูปหารกถา จบ

อรรกถาปรูปหารกถา


ว่าด้วยผู้อื่นนำมาให้


บัดนี้ ชื่อว่า เรื่องผู้อื่นนำมาให้. ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดย่อม
สำคัญว่า เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มารน้อมนำน้าสุกกะ คือน้ำอสุจิเข้า
ไปแก่พระอรหันต์ได้ เพราะเห็นการสละน้ำสุกกะ คืออสุจิของชน
ทั้งหลายผู้ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ ผู้หลอกลวง ผู้เย่อหยิ่ง ผู้
สำคัญในธรรมอันตนไม่บรรลุว่าบรรลุแล้ว หรือผู้ปฏิบัติอยู่เพื่อความ
เป็นพระอรหันต์ ดุจนิกายปุพพเสลิยะ และอปรเสลิยะทั้งหลายใน
ขณะนี้ สกวาทีหมายถึงชนเหล่านั้นจึงถามปรวาทีว่า การปล่อยสุกกะ
คืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่หรือ
คำตอบรับรองเป็นของปรวาที.
บัดนี้ ชื่อว่าการปล่อยน้ำสุกกะ ย่อมมีเพราะราคะเป็นสมุฏฐาน
เหตุใด เพราะเหตุนั้น สกวาทีจึงเริ่มซักถามว่า ราคะของพระ
อรหันต์มีอยู่หรือ
เนื้อความนั้นแม้ทั้งปวงมีอรรถตื้นทั้งนั้น.