เมนู

อนาคตย่อมไม่ละความเป็นอนาคตหรือ ปรวาทีสำคัญว่า ถ้าพึงละ
อนาคตเสียเลย ก็จะไม่พึงละบรรลุความเป็นปัจจุบัน จึงปฏิเสธ. แม้ใน
ปัญหาว่าด้วยความเป็นปัจจุบัน ก็ปฏิเสธว่า โทษคือความไม่ถึงความเป็น
อดีตจะพึงมี. แม้ในปัญหาอนุโลมทั้งหลาย บัณฑิตก็พึงทราบเนื้อความ
โดยนัยนี้. ครั้นกล่าวสุทธิกนัยอย่างนี้แล้ว เพื่อแสดงด้วยสามารถแห่ง
ขันธ์อีก ท่านจึงกล่าวคำว่า รูปอดีต เป็นต้น คำนั้นทั้งหมดอาจ
เพื่อจะรู้โดยทำนองแห่งพระบาลีนั่นแหละ.
กายสังสันทนา จบ

วจนโสธนา


การชำระถ้อยคำ


บัดนี้ ชื่อว่า โสธนา คือการชำระถ้อยคำ เพราะพระบาลีว่า
อดีตมิใช่สภาวะที่มีอยู่ เป็นต้น. ในปัญหานั้น คำว่า หากว่า
อดีตมิใช่สภาวะที่มีอยู่ อธิบายว่า ถ้าอดีตไม่มีอยู่ไซร้. คำว่า อดีต
มีอยู่ก็ผิด
อธิบายว่า อดีตนั้นด้วยสภาพที่มีอยู่ด้วย ดังนี้ผิดทั้งนั้น.
ถูกถามว่า อนาคตก็อันนั้นนั่นแหละ ปัจจุบันก็อันนั้นแหละหรือ
ปรวาทีตอบปฏิเสธ หมายเอาความไม่มีอนาคตที่กำลังเป็นปัจจุบันในขณะ
แห่งอนาคตนั่นแหละโดยการต่างกันแห่งเวลา. ถูกถามครั้งที่ 2 ก็ตอบ
รับรองเพราะความที่อนาคตใดได้มีแล้วในกาลก่อนแต่กาลเกิดขึ้นนั้นเป็น
ปัจจุบันที่กำลังปรากฏ. คำว่า สิ่งที่เป็นอนาคต แล้วเป็นปัจจุ-
บัน ชื่อว่าเป็นแล้งจึงเป็นอยู่หรือ
อธิบายว่า คำใดนี้อันท่านกล่าว

ว่าเป็นอนาคตแล้วเป็นปัจจุบันนี้ หมายความว่าเป็นอนาคตหรือเป็นปัจจุ-
บัน ชื่อว่าเป็นแล้วเป็นอยู่ ด้วยสามารถแห่งลัทธิว่า อนาคตก็อันนั้น
แหละ ปัจจุบันก็อันนั้น ดังนี้ คำนั้นก็ชื่อว่า เป็นแล้วเป็นอยู่ตาม
ลัทธิของท่านหรือ ? ปรวาทีปฏิเสธว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น เพราะสิ่ง
ที่เป็นแล้วเป็นสภาพที่ไม่มีอยู่แก่ธรรมที่เป็นแล้วมีแล้ว. ถูกถามครั้งที่ 2
ท่านตอบรับรอง เพราะอนาคตนั้นจะเป็นแล้ว แต่ปัจจุบันกำลังเป็นไป
จึงนับว่าเป็นแล้วจึงจะเป็น. ลำดับนั้น สกวาทีจึงถามปัญหากะปรวาทีว่า
สิ่งที่ไม่เป็นอนาคต แล้วเป็นปัจจุบัน ชื่อว่าไม่เป็นแล้วไม่
เป็นอยู่
ดังนี้ ด้วยประสงค์เอาว่า หากว่าลัทธิของท่าน อนาคต
นั้นเป็นแล้วปัจจุบันใจไม่เป็นอยู่ อันนับว่า เป็นแล้วเป็นอยู่ ก็อนาคตใด
ไม่เป็นแล้ว ปัจจุบันใดไม่เป็นอยู่ อันถึงซึ่งการนับว่า ไม่เป็นแล้วไม่
เป็นอยู่ดุจเขากระต่าย ความแตกต่างกันไม่เป็นแล้วไม่เป็นอยู่แม้นั้นมี
อยู่อีกหรือ ปรวาทีสำคัญอยู่ว่า สิ่งใดไม่เป็นอนาคตไม่เป็นปัจจุบัน
เพราะความไม่มีนั่นแหละ เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นจึงชื่อว่า ไม่เป็นแล้วไม่
เป็นอยู่ ข้อนั้นจงยกไว้ก่อน ก็แต่ว่าสภาพแห่งธรรมที่ไม่เป็นแล้วไม่
เป็นอยู่แห่งสิ่งนั้นจะมี ณ ที่ไหน ดังนี้ จึงตอบปฏิเสธ. แม้ในปัญหา
ว่า ปัจจุบันก็อันนั้นแหละ อดีตก็อันนั้นแหละ หรือ ปรวาที
ตอบปฏิเสธ หมายเอาความไม่มีแห่งความเป็นอดีตในลักษณะแห่งความ
เป็นปัจจุบันนั่นแหละ เพราะการต่างกันแห่งเวลา.
ถูกถามในปัญหาที่ 2 ปรวาทีตอบรับรอง โดยธรรมใดเป็น
ปัจจุบัน ก็เพราะเป็นอดีตมาก่อน หมายความว่า ปัจจุบันนั้นนั่นแหละ

เป็นอดีต. คำว่า สิ่งที่เป็นแล้วเป็นชื่อว่าเป็นแล้ว จึงเป็นอยู่
อธิบายว่า เมื่อท่านกล่าวว่า ปัจจุบันหรืออดีตชื่อว่าเป็นแล้วเป็นอยู่ด้วย
สามารถแห่งลัทธิว่า ธรรมใดเป็นปัจจุบัน ท่านกล่าวว่า ธรรมนั้นเป็น
อดีต เพราะฉะนั้น ปัจจุบันก็อันนั้นนั่นแหละ อดีตก็อันนั้น ดังนี้ คำแม้
นั้นชื่อว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบันแล้วเป็นอดีต ชื่อว่าเป็นแล้วจึงเป็นอยู่ หรือ ?
ปรวาทีตอบปฏิเสธว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น เพราะธรรมที่เป็นแล้วมีอยู่
เป็นสภาพที่เป็นแล้ว แต่ไม่เป็นอยู่อีก. ในปัญหาที่ 2 ปรวาทีตอบรับ
รองว่า ปัจจุบันเป็นแล้ว อดีตเป็นอยู่ อันถึงซึ่งการนับว่าเป็นแล้วเป็นอยู่.
ลำดับนั้น สกวาทีจึงถามปัญหากะปรวาทีนั้นว่า สิ่งที่ไม่เป็น
ปัจจุบัน แล้วไม่เป็นอดีต ชื่อว่าไม่เป็นแล้วไม่เป็นหรือ

โดยประสงค์เอาว่า หากว่า ปัจจุบันเป็นแล้ว อดีตก็เป็น อันถึงซึ่งการ
นับว่า ไม่เป็นแล้วจึงไม่เป็น ดุจเขากระต่าย ชื่อว่า ไม่เป็นแล้วจึงไม่
เป็น ข้อแม้นั้นชื่อว่า ไม่เป็นแล้วไม่เป็นตามลัทธิของท่านหรือ ปรวาที
มีความสำคัญอยู่ว่า สิ่งใดไม่มี สิ่งนั้นไม่เป็นปัจจุบันและไม่เป็นอดีต
ด้วย เพราะความไม่มีนั่นเทียว ฉะนั้นสิ่งนั้นจึงชื่อว่า ไม่เป็นแล้วจึงไม่
เป็น ข้อที่แตกต่างกันนั้นจงยกไว้ก่อน ก็ความที่ธรรมใดไม่เป็นแล้วไม่
เป็น ธรรมนั้นจักมีแต่ที่ไหน ดังนี้ จึงตอบปฏิเสธ. บัณฑิตพึงทำการ
ประกอบแม้ในปัญหาที่ 3 อันมาแล้วโดยการรวมปัญหาทั้ง 2 เข้าด้วย
กันโดยอุบายนี้.
อีกนัยหนึ่ง ถ้าว่า อนาคตก็อันนั้นนั่นแหละ ปัจจุบันก็อันนั้นไซร้

ภาวะคือความเป็นอยู่อันท่านกล่าวอนาคตในปัจจุบันแล้ว และภาวะคือ
ความเป็นแล้วอันท่านกล่าวปัจจุบันในอนาคตย่อมปรากฏ ครั้นเมื่อความ
เป็นอย่างนั้นมีอยู่. แม้อนาคตก็ชื่อว่าเป็นแล้วเป็นอยู่ แม้ปัจจุบันก็ชื่อว่า
เป็นแล้วเป็นอยู่นั่นแหละ. ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า ลัทธิ
ของท่านว่า บรรดาธรรมเหล่านั้นธรรมอย่างหนึ่งๆ เป็นแล้ว อนาคต
เป็นอยู่ ปัจจุบัน ชื่อว่าเป็นแล้วจึงเป็นอยู่หรือ ปรวาทีปฏิเสธแล้ว
โดยนัยที่ท่านปฏิเสธแล้วในปัญหาว่า อนาคตก็อันนั้นนั่นแหละ
ปัจจุบันก็อันนั้น
ถูกถามอีกก็ตอบรับรองโดยนัยที่ตอบรับรองในปัญหา
ที่ 2. ลำดับนั้น สกวาทีเมื่อจะเปลี่ยนถามปัญหาที่ปรวาทีตอบรับรอง
อยู่ว่า บรรดาธรรมเหล่านั้น ธรรมหนึ่ง ๆ เป็นแล้วเป็นอยู่ ชื่อว่าเป็น
แล้วจึงเป็นอยู่ ด้วยสามารถแห่งปัญหาว่า อนาคตก็อันนั้นนั่นแหละ
ปัจจุบันก็อันนั้น กระทำให้เป็นปัญหาปฏิเสธก่อน จึงถามว่า สิ่งที่
ไม่เป็นอนาคต แล้วไม่เป็นปัจจุบัน ชื่อว่าไม่เป็นแล้วไม่
เป็นอยู่หรือ ?

เนื้อความแห่งปัญหานั้นพึงทราบว่า เมื่อคำว่าอนาคตก็อันนั้น
นั่นแหละ ปัจจุบันก็อันนั้น ท่านปฏิเสธปัญหาแรก ก็เป็นอันว่าท่าน
ปฏิเสธความเป็นอยู่แห่งอนาคตและความเป็นแล้วแห่งปัจจุบัน มิใช่หรือ
ด้วยเหตุนั้น อนาคตก็ชื่อว่าไม่เป็นอยู่ ปัจจุบันก็ชื่อว่าไม่เป็นแล้ว. แต่ใน
ปัญหาที่ 2 ท่านรับรองตามลัทธิของท่านว่า อนาคตก็อันนั้นนั่นแหละ
ปัจจุบันก็อันนั้น ครั้นเมื่อความเป็นเช่นนั้นมีอยู่ แม้อนาคตก็ชื่อว่าไม่

เป็นแล้วไม่เป็นอยู่ แม้ปัจจุบันก็ชื่อว่า ไม่เป็นแล้วไม่เป็นอยู่นั่นแหละ
ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า ตามลัทธิของท่าน บรรดาธรรม
เหล่านั้น ธรรมหนึ่ง ๆ ไม่เป็นแล้วไม่เป็นอยู่หรือ ? ปรวาทีเมื่อไม่เห็นอยู่
ซึ่งความมีธรรมเหล่านั้นไม่เป็นแล้วไม่เป็นอยู่ ราวกะบุคคลผู้อันความมืด
ปกความแล้วโดยประการทั้งปวง จึงตอบปฏิเสธว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
แม้ในครั้งที่ 2 กล่าวว่า ถ้าว่าปัจจุบันก็อันนั้นนั่นแหละ อดีตก็อันนั้น
ไซร้ ภาวะคือความเป็นอยู่อันท่านกล่าว ปัจจุบันในอดีต และภาวะคือ
ความเป็นแล้วอันท่านกล่าวอดีตในปัจจุบันก็ย่อมปรากฏ.ก็ครั้นเมื่อความ
เป็นอย่างนี้มีอยู่ แม้ปัจจุบันก็ชื่อว่า เป็นแล้วเป็นอยู่ แม้อดีตก็ชื่อว่า
เป็นแล้วเป็นอยู่นั่นแหละ. ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า บรรดา
ธรรมเหล่านั้น ธรรมหนึ่ง ๆ ที่เป็นแล้วเป็น ชื่อว่าเป็นแล้วเป็นอยู่หรือ
ปรวาทีปฏิเสธแล้วโดยนัยที่ท่านกล่าวแล้วในปัญหาที่ว่า ปัจจุบันก็อัน
นั้นแหละ. อดีตก็อันนั้นแหละ ถูกถามอีก ก็ตอบรับรอง โดยนัยที่ท่าน
รับรองแล้วในปัญหาที่ 2. ลำดับนั้น สกวาทีเมื่อจะเปลี่ยนถามปัญหา
ที่รับรองอยู่ว่า บรรดาธรรมเหล่านั้น ธรรมหนึ่ง ๆ ที่เป็นแล้วเป็น
ชื่อว่าเป็นแล้วเป็นอยู่ ด้วยสามารถแห่งปัญหาว่า ปัจจุบันก็อันนั้นแหละ
อดีตก็อันนั้นแหละ กระทำให้เป็นปัญหาปฏิเสธก่อน จึงถามว่า สิ่งที่
ไม่เป็นปัจจุบัน แล้วไม่เป็นอดีต ชื่อว่าไม่เป็นแล้วไม่
เป็นหรือ

เนื้อความแห่งปัญหานั้นพึงทราบว่า เมื่อคำว่า ปัจจุบันก็อันนั้น
แหละ อดีตก็อันนั้นแหละ ท่านปฏิเสธปัญหาแรกแล้ว ก็เป็นอันว่า

ท่านปฏิเสธซึ่งภาวะคือความเป็นอยู่แห่งปัจจุบัน และภาวะคือความเป็น
แล้วแห่งอดีตมิใช่หรือ ด้วยคำนั้น ปัจจุบันชื่อว่าไม่มีอยู่ อดีตก็ชื่อว่า
ไม่มีแล้ว. แต่ในปัญหาที่ 2 ท่านตอบรับรองตามลัทธิว่า ปัจจุบันก็อัน
นั่นนั่นแหละ อดีตก็อันนั้นดังนี้ ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้นมีอยู่ แม้
ปัจจุบันก็ชื่อว่าไม่เป็นแล้วไม่เป็น แม้อดีตก็ชื่อว่าไม่เป็นแล้วไม่เป็นนั่น
แหละ ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า ธรรมดาธรรมเหล่านั้น
ธรรมหนึ่ง ๆ ไม่เป็นแล้วไม่เป็น ชื่อว่าไม่เป็นแล้วไม่เป็นอยู่ตามลัทธิ
ของท่านหรือ ปรวาทีเมื่อไม่เห็นซึ่งความที่ธรรมเหล่านั้นไม่เป็นแล้ว
จึงไม่เป็น ราวกะบุคคลอันความมืดมนปกคลุมแล้วโดยประการทั้งปวง
จึงปฏิเสธว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น. แม้ในวาระที่ 3 กล่าวว่า ถ้าว่าอนาคต
ก็อันนั้นแหละ ปัจจุบันก็อันนั้น อดีตก็อันนั้นไซร้ ภาระคือความมีอยู่
อันท่านกล่าวอนาคต และปัจจุบันในปัจจุบันและอดีต และภาวะคือความ
เป็นแล้วอันท่านกล่าวปัจจุบันและอดีตในอนาคตและปัจจุบันก็ย่อม
ปรากฏ ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้นมีอยู่ แม้อนาคตก็ชื่อว่าเป็นแล้วจึง
เป็น แม้ปัจจุบัน แม้อดีตก็ชื่อว่าเป็นแล้วจึงเป็นนั่นแหละ ด้วยคำนั้น
ข้าพเจ้าจึงถามท่านว่า ในธรรมแม้ทั้ง 3 เหล่านั้น ธรรมอย่างหนึ่ง ๆ
เป็นสิ่งที่เป็นแล้วเป็น ชื่อว่าเป็นแล้วจึงเป็นอยู่ตามลัทธิของท่านหรือ
ปรวาทีตอบปฏิเสธว่า อนาคตก็อันนั้น ปัจจุบันก็อันนั้น อดีตก็อัน
นั้น โดยนัยที่ปฏิเสธแล้วนั่นแหละ ถูกถามอีก ก็ตอบรับรองในปัญหา
ที่ 2 โดยนัยแห่งการรับรองนั่นแหละ. ลำดับนั้น สกวาทีเมื่อจะเปลี่ยน
ถามปัญหาอันปรวาทีรับรองอยู่ว่า ในบรรดาธรรมเหล่านั้น ธรรม

อย่างหนึ่ง ๆ เป็นสิ่งที่เป็นแล้วเป็น ชื่อว่าเป็นแล้วจึงเป็นอยู่ ด้วย
สามารถแห่งปัญหาว่า อนาคตก็อันนั้นแหละ ปัจจุบันก็อันนั้นแหละ
อดีตก็อันนั้นแหละหรือ ดังนี้ กระทำให้เป็นปัญหาปฏิเสธว่าก่อน
จึงถามว่า สิ่งที่ไม่เป็นแล้วไม่เป็น ชื่อว่าไม่เป็นแล้วไม่เป็นหรือ
เนื้อความแห่งปัญหานั้น พึงทราบดังนี้ ครั้นเมื่อคำว่า อนาคต
ก็อันนั้นแหละ ปัจจุบันก็อันนั้น อดีตก็อันนั้น
ท่านปฏิเสธปัญหา
แรกแล้ว ภาวะคือความมีอยู่แห่งอนาคต ปัจจุบัน และภาวะคือความ
เป็นแล้วแห่งปัจจุบันอดีตทั้งหลายเป็นอันท่านปฏิเสธแล้วมิใช่หรือ ด้วย
คำนั้น อนาคตและปัจจุบันก็ชื่อว่าไม่เป็น ปัจจุบันและอดีตก็ชื่อว่าไม่
เป็นแล้ว. แต่ในที่ปัญหา 2 ท่านตอบรับรองตามลัทธิว่า อนาคต
ก็อันนั้นแหละ ปัจจุบันก็อันนั้นแหละ อดีตก็อันนั้นแหละ ครั้นเมื่อ
ความเป็นเช่นนั้นมีอยู่ แม้อนาคตก็ชื่อว่าไม่เป็นแล้วจึงไม่เป็น ปัจจุบัน
ก็ดี อดีตก็ดี ก็ชื่อว่าไม่เป็นแล้วไม่เป็นอยู่เหมือนกัน ด้วยเหตุนั้นข้าพ-
เจ้าจึงถามท่านว่า ในธรรมเหล่านั้น ธรรมอย่างหนึ่ง ๆ ไม่เป็นแล้ว
ไม่เป็น ชื่อว่าไม่เป็นแล้วไม่เป็นอยู่ตามลัทธิของท่านหรือ ปรวาทีเมื่อ
ไม่เห็นซึ่งความที่ธรรมเหล่านไม่เป็นแล้วไม่เป็นอยู่ราวกะผู้ถูกความมืด
ปกคลุมแล้วโดยประการทั้งปวง จึงตอบปฏิเสธว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น
ดังนี้แล.
วจนโสธนา จบ
อนึ่ง คำนิคคหะเป็นต้นในที่นี้ บัณฑิตพึงประกอบความโดย
นัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ. แม้ในปัญหาว่า จักขุอดีตมีอยู่

เป็นต้น ปรวาทีตอบรับรองอดีต โดยการไม่เว้นจากความเป็นจักขุเป็น
ต้น ถูกถามว่า บุคคลเห็นรูปอดีต เป็นต้น ก็ตอบปฏิเสธด้วย
สามารถแห่งความไม่มีกิจของวิญญาณเหล่านั้นอีก.
ในปัญหาว่า บุคคลทำกิจที่พึงทำด้วยญาณได้ด้วยญาณ
อดีตนั้นหรือ
ปรวาทีเมื่อไม่เห็นซึ่งความที่ญาณนั้นมีกิจที่พึงกระทำ
เพราะความที่ญาณนั้นดับไปแล้วจึงตอบปฏิเสธ. ถูกถามอีก ปรวาทีทำ
ปัจจุบันนั้นแหละให้เป็นอดีตญาณโดยเลสนัยของผู้มีอดีตญาณคือผู้รู้
ปัจจุบันญาณอันมีอดีตเป็นอารมณ์ของธรรมอันเป็นอดีตอารมณ์ทั้งหลาย
แล้วจึงตอบรับรอง เพราะความที่กิจนั้นอันบุคคลพึงทำญาณได้ด้วยญาณ
นั้น. ที่นั้นสกวาที่ไม่ให้โอกาสอันมีเลสนัยแก่ปรวาทีนั้น จึงกล่าวคำว่า
บุคคลกำหนดรู้ทุกข์ได้ ละสมุทัยได้ ทำนิโรธให้แจ้งได้ ยังมรรค
ให้เกิดได้ ด้วยญาณอดีตนั้นหรือ
ปรวาทีตอบปฏิเสธ เพราะความ
ไม่มีกิจ 4 ของอธิยสัจเหล่านี้ ด้วยญาณอันมีอดีตเป็นอารมณ์เลย. แม้
ในปัญหาของอนาคตก็นัยนี้นั่นแหละ. ปัญหาว่าด้วยปัจจุบัน และ
ปัญหาว่าด้วยการเปรียบเทียบ มีอรรถตื้นทั้งนั้นแล.
แม้ในปัญหาว่า ราคะอดีตของพระอรหันต์มีอยู่หรือ เป็น
ต้น ปรวาทีตอบรับรองอย่างนั้น เพราะความเป็นผู้ไม่เว้นจากความเป็น
ผู้มีราคะเป็นต้น. ในปัญหาว่า พระอรหันต์ชื่อว่ามีราคะ เป็นต้น
ปรวาทีตอบปฏิเสธ เพราะกลัวผิดจากพระสูตร และกลัวผิดจากการ
ประกอบถ้อยคำ. คำแม้ทั้งปวงอย่างนี้ปรากฏแล้วข้างหน้าพึงเข้าใจตาม

ทำนองพระบาลีนั่นแล.
ในคำนี้ว่า สิ่งที่มีอยู่เป็นอดีตก็มี ไม่เป็นอดีตก็มี นี้ พึง
ทราบความอย่างนี้ว่า ธรรมใดเป็นอดีตนั่นแหละเป็นสภาพที่มี แต่สภาพ
ที่มีนั้นเป็นอดีต ธรรมใดเป็นปัจจุบันและอนาคตเป็นสภาพที่มีแต่สภาพ
ที่มีนั้นไม่เป็นอดีต. ข้อว่า ด้วยเหตุนั้นอดีตก็ไม่เป็นอดีต สิ่งที่ไม่
ใช่อดีตก็เป็นอดีต อธิบายว่า ด้วยเหตุนั้น อดีตก็เป็นสภาพที่ไม่ใช่
อดีต
แต่สภาพที่ไม่ใช่อดีตก็เป็นอดีต ดังนี้. แม้ในคำปุจฉาว่าด้วยอนาคต
และปัจจุบันก็นัยนี้นั่นแหละ.
คำถามโดยชำระพระสูตรของปรวาทีว่า ไม่พึงกล่าวว่า อดีต
มีอยู่ อนาคตมีอยู่หรือ
คำตอบรับรองเป็นของสกวาที. การซักถาม
ของปรวาที อาศัยลัทธิของตนตามพระสูตรอีกว่า ภิกษุทั้งหลาย
รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตปัจจุบัน อันเป็นภาย
ในก็ดี ภายนอกก็ดี
เป็นต้น. ในนัยที่ 2 เป็นคำถามของสกวาที
คำตอบรับรองเป็นของปรวาที. คำถามก็ดี คำปฏิเสธก็ดี คำตอบรับรอง
ก็ดี ในฐานะทั้งปวง บัณฑิตพึงทราบด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง คำนั้นใดว่า การเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น
เป็นต้น ที่ปรวาทีแสดงในสุดของพระสูตรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัส
ไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากว่า ความยินดี ความเพลิดเพลิน
ความอยาก ยังมีในกพฬีการาหาร
ดังนี้เป็นต้นนั้น ก็เพื่อนำมา
อ้างประกอบคำว่า อนาคตเป็นสภาพที่มีอยู่ แต่พระสูตรที่นำมาอ้างนั้น

ไม่สำเร็จซึ่งความที่อนาคตเป็นสภาพที่มีอยู่. จริงอยู่ พระสูตรที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสไว้ในที่นั้น หมายเอาธรรมอันบุคคลเจริญแล้ว เพราะ
ความที่เหตุทั้งหลายเป็นสภาพถึงความสำเร็จแล้ว. นี้เป็นการอธิบาย
พระสูตร. คำที่เหลือในที่ทั้งปวงตื้นทั้งนั้นแล.
อรรถกถาสัพพมัตถีติวาทกถา จบ

อตีตขันธาติกถา


[389] ปรวาที อดีตเป็นขันธ์ หรือ ?
สกวาที ถูกแล้ว.
ป. อดีตมีอยู่ หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ป. อดีตเป็นอายตนะ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. อดีตมีอยู่ หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ป. อดีตเป็นธาตุ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. อดีตมีอยู่ หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ป. อดีตเป็นขันธ์ ธาตุ อายตนะ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. อดีตมีอยู่ หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[390] ป. อนาคตเป็นขันธ์ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.