เมนู

อรรถกถาพรหมจริยกถา


ว่าด้วยการประพฤติพรหมจรรย์


บัดนี้ ชื่อว่า เรื่องประพฤติพรหมจรรย์. ในปัญหานั้น การ
อยู่ประพฤติพรหมจรรย์มี 2 อย่าง คือ การเจริญมรรค 1. การ
บรรพชา 1. การบรรพชา ย่อมไม่มีในเทพทั้งหลาย. เว้นอสัญญีสัตว์
แล้ว การเจริญมรรค ท่านไม่ปฏิเสธในเทพทั้งหลายที่เหลือ.
ในปัญหานั้น ชนเหล่าใดมีความเห็นผิดดุจนิกายสมิติยะทั้งหลาย
ผู้มีความเห็นผิดไม่ปรารถนาการเจริญมรรคในเทพทั้งหลายที่สูงกว่าชั้น
ปรนิมมิตวสวัตตี คำถามของสกวาที หมายถึงชนเหล่านั้น จึงถามว่า
การปรพฤติพรหมจรรย์ไม่มีในหมู่เทวดา หรือ คำรับรองเป็น
ของปรวาที ว่า ใช่ ด้วยสามารถแห่งลัทธิอันเกิดขึ้นแล้วว่า การ
ประพฤติพรหมจรรย์แม้ทั้งสอง ไม่มีในเทพทั้งหลาย เพราะอาศัย
พระสูตรนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ย่อมครอบงำ
มนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีป และเทพทั้งหลายชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ
3 อย่าง ฐานะ 3 เป็นไฉน ? ฐานะ 3 คือ สุรา เป็นผู้กล้า 1.
สติมนฺโต มีสติ 1. พฺรหฺมจริยวาโส การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์
ในพระพุทธศาสนา 1.
ดังนี้. คำถามของสกวาทีอีกว่า เทวดา
ทั้งหมดเป็นผู้เงอะงะด้วยสามารถแห่งธรรมอันเป็นอันตรายแก่การ
ประพฤติพรหมจรรย์แม้ทั้ง 2 หรือ ?
ในคำเหล่านั้น คำว่า ใช้
ภาษาใบ้
ได้แก่ ผู้กล่าวด้วยมือและศีรษะเหมือนคนใบ้.

คำถามของปรวาที ข้างหน้าว่า การประพฤติพรหมจรรย์
มีอยู่ในหมู่เทวดา หรือ ?
คำตอบรับรองของสกวาที หมายเอา การ
เจริญมรรค. คำซักถามด้วยสามารถแห่งบรรพชาเพราะไม่กำหนดประ-
สงค์เอาคำตอบรับรอง เป็นของปรวาที. ในปัญหาว่า ในที่ใด ไม่มี
การบรรพชา ที่นั้นไม่มีการประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
คำปฏิเสธ
ว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น เป็นของสกวาทีนั้นนั่นแหละ เพราะหมาย
เอาการได้เฉพาะซึ่งมรรคของคฤหัสถ์ทั้งหลาย และของเทพทั้งหลาย
บางพวก. ถูกถามซ้ำอีกสกวาทีนั้นนั่นแหละก็ตอบรับรอง หมายเอา
มนุษย์ผู้อยู่สุดเขตแดน ซึ่งพระศาสนาไปไม่ถึง และอสัญญีสัตว์. แม้
ในคำถามทั้งหลาย มีคำเป็นต้นว่า ผู้ใดบรรพชา ก็นัยนี้เหมือนกัน
แม้ในคำถามอีกว่า การประพฤติพรหมจรรย์มีอยู่ในหมู่เทวดา
หรือ ?
คำตอบรับรองว่ามีอยู่เป็นของสกวาที เพราะหมายเอาการเจริญ
มรรคเท่านั้น. ครั้นเมื่อปรวาทีซักว่า มีอยู่ในเทวดาทุกหมู่ หรือ ?
คำปฏิเสธเป็นของสกวาทีนั้นนั่นแหละ เพราะหมายเอาอสัญญีสัตว์ซึ่ง
ประพฤติพรหมจรรย์ไม่ได้. ปัญหาว่า การประพฤติพรหมจรรย์
มีอยู่ในหมู่มนุษย์หรือ ?
คำตอบรับรอง หมายเอาชาวชมพูทวีปผู้
เจริญ. บัณฑิตพึงทราบคำปฏิเสธเพราะหมายเอามนุษย์ผู้อยู่สุดเขตแดน
ซึ่งไม่มีความเจริญ. ข้อว่า มีในที่ไหน ไม่มีที่ไหน ? คำวิสัชนา
เป็นของสกวาที โดยหัวข้อที่แยกคือสัตว์และประเทศอย่างนี้ว่า เทพ
เหล่านั้นมีอยู่ ณ ที่ใด หรือประเทศนั้นมีอยู่ ณ ที่ใดดังนี้. โดยนัยนี้
บัณฑิตพึงทราบปัญหาทั้งปวงว่า เป็นเอกันตริกปัญหา คือ เป็นปัญหา

ที่ถามสลับกัน. ในการซักถามพระสูตรว่า ผลบังเกิดขึ้นในที่ไหน ?
เป็นคำถามขอสกวาทีว่า การเกิดขึ้นแห่งอรหัตตผลของพระ-
อนาคามีนั้น มี ณ ที่ไหน ?
คำตอบว่า ในหมู่เทวดานั้นแล
อธิบายว่า ในชั้นสุทธาวาสทั้งหลาย. คำว่า หนฺท หิ เป็นนิบาต
ลงในอรรถแห่งเหตุ. คำนี้ ท่านอธิบายไว้ว่า ก็เพราะพระอนาคามี
บุคคลทำให้แจ้งซึ่งผล ในสุทธาวาสเหล่านั้นด้วยมรรคที่ท่านให้เกิดแล้ว
ในโลกนี้ มิได้เจริญมรรคอื่นในสุทธาวาสนั้น เพราะฉะนั้น การอยู่
ประพฤติพรหมจรรย์ คือการบรรพชา ในเทพทั้งหลายจึงไม่มี.
บัดนี้ คำถามเปรียบเทียบว่า พระอนาคามี เป็นต้นอีก
เป็นของสกวาที เพื่อแสดงเนื้อความนี้ว่า ถ้าการทำให้แจ้งซึ่งผลในที่อื่น
ด้วยมรรคที่เคยอบรมแล้วในที่อื่นมีอยู่ เพราะฉะนั้นการทำให้แจ้งซึ่งผล
ด้วยมรรคที่เคยอบรมแล้วก็พึงมีแม้แก่พระโสดาบันเป็นต้น ดังนี้. การ
ตอบรับรองการทำให้แจ้งซึ่งผลแห่งพระอนาคามีในปัญหานั้น แต่ปฏิเสธ
การทำให้แจ้งซึ่งผลแห่งพระอริยะที่เหลือ เป็นของพระปรวาที ก็ลัทธิ
ของท่านว่าพระอนาคามีเว้นการเจริญมรรค ย่อมทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล
ได้ด้วยสามารถแห่งการอุบัติขึ้นนั้นแหละ เพราะพระบาลีว่า พระ-
อนาคามี ผู้มีมรรคอันอบรมแล้วในโลกนี้ย่อมชื่อว่า เป็นผู้ถึง
ความสำเร็จด้วยการละกิเลสในโลกนี้ (อิธวิหายนิฏฺโฐ) ก็ท่าน
เจริญอนาคามิมรรคในโลกนี้แล้วเคลื่อนจากโลกนี้ก็เป็นโอปปา-
ติกะและปรินิพพานในเทวโลกเหล่านั้น ส่วนพระโสดาบันและ
พระสกทาคามีผู้ชื่อว่า อุปปาติกะมีอยู่ในเทวโลก เพราะยังมรรค

ให้เกิดในเทวโลกนั้นมีอยู่ แต่การมาสู่โลกนี้ของพระอริยะเหล่า
นั้นย่อมไม่มีเลย
ดังนี้ เมื่อถูกถามถึงการทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล
แห่งพระอนาคามี ก็ตอบรับรอง แต่ปฏิเสธการทำให้แจ้งแห่งพระอริยะ
ทั้งหลายนอกจากนี้.
ในปัญหาว่า พระอนาคามีบุคคลทำให้แจ้งซึ่งผลในหมู่
เทวดานั้น ด้วยมรรคอันท่านให้เกิดแล้วในหมู่เทวดานั้น
หรือ ?
ปรวาทีตอบปฏิเสธ เพราะขัดกับลัทธิว่า การเจริญมรรคของพระ-
อนาคามีในเทวโลกไม่มี คำถามว่า จะไม่ยังมรรคให้เกิดและละ
กิเลสทั้งหลายอีกหรือ ?
เป็นของสกวาที คำรับรองเป็นของปรวาที
เพราะหมายเอารูปาวจรมรรค. จริงอยู่ พระอนาคามีนั้นชื่อว่า ผู้ถึง
ความสำเร็จด้วยการละกิเลสในโลกนี้ เป็นผู้เกิดขึ้นแล้วในเทวโลกด้วย
รูปาวจรมรรค.
ในปัญหาว่า พระอนาคามีบุคคลมีกรณียกิจอันทำแล้ว
ปรวาทีตอบรับรองว่า ใช่ หมายเอาภาวะมีกรณียกิจอันพระอนาคามีนั้น
ทำแล้วด้วยการอุบัติเป็นต้น เพราะถือเอาพระบาลีว่า พระอนาคามี
ผู้เป็นโอปปาติกะปรินิพพานแล้วในเทวโลกเหล่านั้น.
ในปัญหา
ว่า " พระอนาคามีผุดเกิดเป็นพระอรหันต์หรือ " ปรวาทีตอบปฏิเสธ
ด้วยสามารถแห่งพระอรหันต์ผู้ปรินิพพานในโลกนี้. ถูกถามอีกว่า พระ-
อนาคามีผุดเกิดเป็นพระอรหันต์หรือ
ก็ตอบรับรองว่า ใช่ ด้วย
สามารถแห่งพระอรหันต์ผู้ปรินิพพานแล้วในเทวโลกเหล่านั้น. แม้ในคำ

ทั้งหลายมีคำว่า พระอรหันต์มีภพใหม่หรือ ? เป็นต้น บัณฑิต
พึงทราบเนื้อความด้วยสามารถแห่งพระอรหันต์ทั้งหลายที่ปรินิพพาน
แล้วในเทวโลกนั้น หรือผู้ปรินิพพานแล้วในโลกนี้นั่นแหละ. ถูกสกวาที
ถามว่า เป็นผู้มีอกุปปธรรมอันไม่แทงตลอดแล้วปรินิพพานใน
หมู่เทวดานั้นหรือ
เมื่อปรวาทีไม่ปรารถนาการแทงตลอดอกุปป-
ธรรมของพระอรหันต์ด้วยมรรคที่อบรมแล้วในโลกนี้นั่นแหละจึงตอบ
ปฏิเสธว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น. อุทาหรณ์แรก ว่า เหมือนเนื้อที่
ถูกยิงด้วยลูกศร
เป็นคำอุปมาของปรวาที อุทาหรณ์ที่ 2 เป็น
ของสกวาที. คำที่เหลือในที่ทั้งปวงมีอรรถตื้นทั้งนั้นนั่นแล.
อรรถกถาพรหมจริยกถา จบ

โอธิโสกถา


[279] สกวาที บุคคลละกิเลสได้เป็นส่วน ๆ หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ละ
อะไรได้ด้วยการเห็นทุกข์ ?
ป. ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส และ
บรรดากิเลสพวกเดียวกันส่วนหนึ่งได้.
ส. บุคคลเป็นพระโสดาบันแต่ส่วนหนึ่ง อีกส่วน
หนึ่งไม่เป็นพระโสดบัน ส่วนหนึ่งบรรลุ . . . ได้เฉพาะ. . . ถึงทับ. . .
ทำให้แจ้ง... เข้าถึงอยู่ . . . ถูกต้องด้วยกายอยู่ . . . ซึ่งโสดาปัตติผล แต่อีก
ส่วนหนึ่งไม่ถูกต้องด้วยกายอยู่ ซึ่งโสดาปัตติผล ส่วนหนึ่งเป็นพระ
โสดาบันผู้สัตตขัตตุปรมะ. . . ผู้โกลังโกละ. . . ผู้เอกพีชี. . . ประกอบ
ด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ฯลฯ ในพระธรรม ฯลฯ
ในพระสงฆ์... ประกอบด้วยอริยกันตศีล แต่อีกส่วนหนึ่งไม่ประกอบ
ด้วยอริยกันตศีล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ละ
อะไรไดด้วยการเห็นสมุทัย ?
ป. ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรมาส และ
บรรดากิเลสพวกเดียวกันส่วนหนึ่งได้.
ส. บุคคลเป็นพระโสดาบันแต่ส่วนหนึ่ง อีกส่วน